อีกครั้งหนึ่งที่คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ได้มาที่กองบัญชาการทหารสูงสุดเพื่อพบกับท่านนายพลอาวุโสหลวงตะลุมบอนอุตลุด รองผู้บัญชาการฯ ตามคำสั่งของท่าน
คาดิลแล็คเก๋งคันงามซึ่งขับโดย ส.อ. แห้ว โหระพากุล คลานเอื่อยๆ แล่นมาจอดหน้าตึกกองบัญชาการ ในเวลา ๑๐.๐๐ น. ตอนสายวันนั้น เจ้าแห้วรีบลงมาเปิดประตูรถให้เจ้านายของเขาและชิดเท้าตรงยกมือวันทยาหัตถ์เมื่อสี่สหายกับท่านเจ้าคุณพากันลงมาจากรถ ทุกคนแต่งเครื่องแบบปรกติกากีแกมเขียวคอแบะผูกเน็คไทสวมหมวกทรงหม้อตาล โดยเฉพาะหมวกของเจ้าคุณปัจจนึกฯ และหมวกของนายพลดิเรกใช้ผ้าพันหมวกสีบานเย็นมีเส้นดำคู่อยู่กลางผ้าพันหมวกสองเส้น ที่แก๊ปหมวกมีใบไม้กนกทองสองแถว หรือสองชั้นมองแต่ไกลก็รู้ว่าเป็นหมวกนายพล และหมวกแบบนี้ถ้าวางตั้งไว้หลังรถเก๋งแล้วตำรวจจราจรหรือนักขโมยรถยนต์ไม่สนใจ ส่วนหมวกของ พล, นิกร, กิมหงวนใช้ผ้าพันหมวกสีน้ำเงินขลิบแดง มีใบไม้ทองที่แก๊ปหมวกเพียงชั้นเดียวบอกให้รู้ว่าเป็นหมวกพันเอก
เจ้าแห้วคนเดียวเท่านั้นที่แต่งเครื่องแบบปรกติกากีแกมเขียวคอพับ ผูกเน็คไทและสวมหมวกหนีบ ติดบั้ง ๓ บั้งงามสง่า
สารวัตรทหารบก ๒ คนที่ยืนอยู่หน้าบันไดสะพาบปืนกลมือต่างชิดเท้าตรงกระทำความเคารพคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ทันที แล้ว ส.ต.หนุ่มทหารสารวัตรเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยก็ปราดเข้ามาชิดเท้าเบื้องหน้าเจ้าคุณปัจจนึกฯ
"กระผมขออนุญาตครับผม"
ท่านเจ้าคุณยิ้มให้
"ว่าไงเธอ"
"แล้วแต่จะโปรดครับ คนรถของท่านแต่งตัวผิดระเบียบ"
เจ้าแห้วได้ยินเข้าก็ชักฉิว
"ผิดยังไงคุณ ผมแต่งถูกต้องเรียบร้อยตามระเบียบกฎข้อบังคับของทหารทุกอย่าง ผิดตรงไหนว่ามาซิ"
นายสิบสารวัตรเปลี่ยนสายตามาที่เจ้าแห้ว
"แต่ระเบียบข้อบังคับให้นายสิบติดบั้งที่แขนเสื้อข้างซ้ายครับ หมู่ติดข้างขวาผิดระเบียบแน่นอน"
เจ้าแห้วสะดุ้งโหยง มองดูแขนเสื้อเชิ้ทสีกากีแกมเขียวแขนยาวของเขาแล้วทำคอย่น พลเดินเข้ามาหาเจ้าแห้ว
"ขึ้นไปบนรถรีบเปลี่ยนบั้งเสียให้ถูก ฉันสั่งแกแล้วใช่ไหมว่าทุกครั้งที่แต่งเครื่องแบบ ก่อนจะออกจากบ้านให้พิจารณาดูตัวเองเสียก่อน นี่ถ้าสารวัตรเขารายงานแกจะมีความผิดรู้ไหม เร็ว-ขึ้นไปบนรถแก้ไขเสียให้ถูกต้องแล้วเอารถไปจอดทางโน้นรอคอยพวกเราอย่างช้าหนึ่งชั่วโมงเราจะกลับลงมา"
เจ้าแห้วมองดูนายสิบสารวัตรอย่างอาฆาตแล้วผลุนผลันขึ้นไปนั่งตอนหน้ารถคาดิลแล็คเก๋ง เจ้าคุณปัจจนึกฯ เดินนำหน้าพาคณะพรรคสี่สหายขึ้นบันไดไปบนตึกกองบัญชาการสูงสุดแล้วเลยขึ้นไปชั้นบนอันเป็นห้องทำงานของฯ พณฯ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและรองผู้บัญชาการฯ อาคารใหญ่ด้านริมคลองหลอดหลังนี้เป็นที่ทำงานของหน่วยทหารต่างๆ หลายหน่วยที่ขึ้นตรงต่อกองบัญชาการทหารสูงสุดรวมทั้งวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรด้วย มีทหารไทยและนายทหารอเมริกันเดินพลุกพล่านตลอดเวลาสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างรับความเคารพหรือกระทำความเคารพบรรดานายทหารทั้งหลาย ซึ่งส่วนมากล้วนแต่รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน ถึงแม้เป็นนายทหารพิเศษก็เหมือนกับนายทหารประจำการ เพื่อนฝูงของคณะพรรคสี่สหายหลายคนก็เป็นนายพลหรืออย่างน้อยนายพันเอกอยู่ที่กองบัญชาการทหารสูงสุดนี้ ซึ่งเปรียบเหมือนกับศูนย์กลางของกองทัพไทย
นายทหารคนสนิทของรองผู้บัญชาการฯ หลวงตะลุมบอนอุตลุดยืนรอคอยต้อนรับอยู่หน้าห้องแล้ว เมื่อแลเห็นคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ เขาก็รีบกระทำความเคารพด้วยวิธีชิดเท้าตรงและก้มศีรษะทันทีเพราะเขาไม่ได้สวมหมวก
"เชิญครับ ท่านกำลังรอคอยพบอาจารย์กับคณะอยู่ทีเดียว" นายทหารคนสนิทกล่าวกับนายพลดิเรกอย่างนอบน้อม
"อารมณ์ของท่านเป็นยังไง ลมดีหรือลมเสีย"
"ก็รู้สึกว่าวันนี้ท่านขรึมๆ ไปหน่อยครับ"
ศาสตราจารย์ดิเรกหันมาทางกิมหงวนกับนิกร
"อย่าพูดอะไรให้ท่านรองขัดใจนะโว้ย อย่าลืมว่าท่านเป็นผู้บังคับบัญชาของเรา แกสามคนอาจจะได้เป็นนายพลในเร็วๆ นี้"
นิกรทำตาละห้อย
"ซื้อช่อชัยพฤกษ์และดาวเตรียมไว้ติดบ่าตั้งนานแล้วไม่ได้เป็นสักที"
นายทหารคนสนิทยิ้มให้ พ.อ. นิกร
"แต่คุณก็เป็นพันเอกอันดับสองหรือพลจัตวา เชิญครับ เข้าไปพบท่านเถอะ นายทหารหน่วยแม็คมาหาท่านเพิ่งกลับไปในราว ๑๐ นาทีที่แล้วมานี่เอง อ้า-คุณนิกรแต่งเครื่องแบบอย่างนี้สง่างามมากเชียวครับ"
"อย่า อย่ามายอผมเลย ถ้าผมแต่งจอมพลและคุณชมผมอย่างนี้ละก้อผมไม่เถียง"
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ถูกนำตัวเข้าไปพบกับท่านอาวุโสในห้องทำงานซึ่งเป็นห้องพิเศษกว้างใหญ่มีเครื่องปรับอากาศ มีโต๊ะเก้าอี้ชุดรับแขกและโต๊ะทำงานอันทันสมัย หน้าห้องของท่านเป็นที่ทำงานของนายทหารชั้นนายพันรวม ๔ คน ล้วนแต่เป็นนายทหารเสนาธิการทั้งสิ้น
เมื่อนายทหารคนสนิทยกมือเคาะประตู และได้ยินเสียงร้องบอกอนุญาต เขาก็เปิดประตูออกพาคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ เข้าไปในห้องของรองผู้บัญชาการฯ หลวงตะลุมบอนฯ แต่งเครื่องแบบปรกติกากีแกมเขียวคอแบะผูกเน็คไทเช่นเดียวกัน เมื่อแลเห็นนายพลดิเรกกับคณะท่านก็ดีใจรีบลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะรับความเคารพ ปราดเข้ามาสัมผัสมือเจ้าคุณปัจจนึกฯ เป็นคนแรก และสี่สหายโดยทั่วหน้ากัน ท่านอนุญาตให้นายทหารคนสนิทของท่านออกไปได้ แล้วเชิญคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก
สี่สหายนั่งรวมกันบนโซฟาตัวใหญ่ ท่านเจ้าคุณกับท่านรองฯ นั่งคู่กันบนโซฟาอีกด้านหนึ่ง
"เจ้า " ขวัญใจ" ของผมเป็นยังไงคุณหลวง" เจ้าคุณปัจจนึกฯ ถามถึงนกเขาชวาที่ท่านให้หลวงตะลุมบอนฯ ไปเมื่อเดือนก่อน
"วิเศษเลยครับใต้เท้า ผมกำลังจะเรียนใต้เท้าอยู่เดี๋ยวนี้ทีเดียวว่า กล้วยไม้ต่างประเทศที่ผมให้เจ้าคุณไป ๕ กระถางไม่คุ้มกับ " ขวัญใจ" ที่ใต้เท้าให้ผมหรอกครับ เสียงมันแน่จริงๆ ขันตั้งแต่ ๕.๓๐ ถึง ๘.๓๐ เป็นประจำ มีต้นมีปลายมีเก็บมีประพรมพร้อม แหม-ใต้เท้าให้เงินผมสักสามสี่แสนผมยังไม่ดีใจเท่า คุณหญิงของผมไม่เคยสนใจนกเขามาแต่ก่อนเลยเดี๋ยวนี้รักอ้าย " ขวัญใจ" ของใต้เท้ายิ่งกว่าลูก ทหารที่บ้านมันทำนกตื่นหน่อยเดียวแม่เอ็ดตะโรลั่นบ้าน ตอนเย็นพอผมไปถึงบ้านมันขันรับและขันไปจนค่ำ ดึกดื่นเที่ยงคืนบอกให้มันขันมันก็ขัน ดีดมือแป๊ะว้อให้ลั่น เสียงมันแน่จริงๆ ครับ นายทหารผู้ใหญ่หลายคนไปหาผมที่บ้านได้ยินเสียง " ขวัญใจ" แล้วชมเปาะไปตากัน พลเรือโทกมลแกบอกว่าเสียงพอๆ กับ " ลูกแดง" ยอดนกเขาชวาที่ปัตตานีทีเดียว"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ยิ้มแป้น
"เรื่องอาหารระวังหน่อยคุณหลวง อย่าลืมว่ามันชอบกินอาหารผิดกว่านกเขาทั่วไป"
"อ๋อ ผมจำได้ครับที่ใต้เท้าสั่งไว้ ผมให้กินโอยัวะทุกวัน ข้าวเหนียวสังขยากินวันเว้นวัน อาหารผสมไม่มีเม็ดผักเสี้ยน"
"ครับ ถูกแล้ว อ้ายนกตัวนี้แปลก ถ้ากินเม็ดผักเสี้ยนเข้าไปจะซึมและหยุดขันไปตั้งอาทิตย์"
สี่สหายมองดูหน้ากัน ดร.ดิเรกกล่าวขึ้นดังๆ ว่า
"กลับหรือเรา คุณหลวงคงเชิญเรามาพบเพื่อปรึกษาหารือเรื่องที่เกี่ยวกับนกเขาชวา ซึ่งพวกเราไม่มีความรู้เลย รู้แต่ว่านกเขาทาพริกไทยเกลือกระเทียม ทอดให้กรอบโอชารสมาก"
หลวงตะลุมบอนฯ หันขวับมาทางคณะพรรคสี่สหาย
"ขอโทษทีครับท่านศาสตราจารย์ เรื่องนกเขาที่ผมคุยกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่เรื่องราชการ"
นายพลดิเรกยิ้มเล็กน้อย
"คุณหลวงมีอะไรจะใช้พวกเราก็โปรดบัญชามาเถอะครับ"
ท่านรองฯ มองดูสี่สหายอย่างชื่นชม นายสิบคนหนึ่งถือถาดใส่แก้วเครื่องดื่มเดินเข้ามาในห้อง เขาเสริฟเครื่องดื่มให้ทุกๆ คนโดยทั่วหน้ากันแล้วกลับออกไป ท่านนายพลอาวุโสเชิญทุกคนให้ดื่มเครื่องดื่มและสูบบุหรี่ในกล่องเงินและในกระป่องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วท่านก็กล่าวกับศาสตราจารย์ดิเรกอย่างเป็นงานเป็นการ
"ท่านศาสตราจารย์ที่รัก ผมมีความจำเป็นที่จะต้องส่งท่านกับคณะของท่านเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ชายแดนโดยด่วน"
"ไปเขมรหรือญวนใต้ใช่ไหมครับ"
หลวงตะลุมบอนฯ หัวเราะเบาๆ
"เปล่า ผมจะส่งท่านศาสตราจารย์กับคณะพร้อมด้วยท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ ไปใต้เพื่อทำงานระหว่างพรมแดนไทยกับ มาเลเซีย"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดเสริมขึ้น
"เกี่ยวกับการปราบปรามกวาดล้างโจรภาคใต้หรือคุณหลวง"
"ครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง" พูดจบหลวงตะลุมบอนฯ ก็ลุกขึ้นเดินไปที่ตู้เหล็กเก็บเอกสารทางหลังโต๊ะทำงานของท่าน
ท่านนายพลอาวุโสหยิบไม้ซางขนาดใหญ่และมีความยาวเกือบ ๓ เมตรพร้อมด้วยลูกดอกที่วางอยู่บนหลังตู้อันหนึ่งถือกลับมาหาคณะพรรคสี่สหายและเจ้าคุณปัจจนึกฯ อาเสี่ยแลเห็นเข้าก็หัวเราะชอบใจ
"คุณหลวงแก่แล้วยังชอบเล่นไม้ซางเหมือนเด็กๆ หรือครับ"
หลวงตะลุมบอนฯ ทำคอย่นมองดู พ.อ. กิมหงวนอย่างเดือดดาล
"ใครบอกคุณล่ะ ผมจะให้ศาสตราจารย์ดิเรกและพวกคุณดูอาวุธของพวกซาไกต่างหาก" พูดจบท่านก็ส่งไม้ซางขนาดยาวและลูกดอกให้นายพลดิเรก แล้วท่านรองฯ ก็นั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง "ดูให้ดีท่านศาสตราจารย์ ลูกดอกในมือซ้ายของท่านทำด้วยไม้ไผ่ แต่ปลายของมันทำด้วยเหล็กคือใช้เบ็ดตกปลาเผาไฟแล้วดัดให้ตรงผูกติดกับลูกดอก"
"ออไร๋ กรุณาเล่าให้ผมฟังโดยละเอียดเถอะครับ"
"ผมกำลังจะเรียนให้ทราบเดี๋ยวนี้ ท่านศาสตราจารย์ท่านคงทราบดีแล้วว่ารัฐบาลของเรากับรัฐบาลมาเลเซียได้มีการตกลงกันร่วมมือกวาดล้างโจรจีนค็อมมิวนิสต์ ที่ผนึกกำลังอยู่ในป่าตามพรมแดน ระหว่างตอนใต้ของประเทศไทยกับตอนเหนือของมาเลเซีย พวกโจรกระจายกำลังกันทั่วไป บางทีก็หนีเข้ามาในจังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลาหรือสงขลา เมื่อถูกตำรวจภูธรชายแดนและทหารของเราโจมตีก็ล่าถอยเข้าไปในแดนมาเลเซียอีก พวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ได้เกลี้ยกล่อมชาวป่าซาไกให้เป็นพรรคพวกของมัน ด้วยการปลุกปั่นยุยงหรือแจกจ่ายข้าวของเงินทองให้"
นายพลดิเรกถามขึ้นทันที
"พวกซาไกน่ะพวกเงาะใช่ไหมครับ"
"ครับ ถูกแล้ว เป็นชาวป่าเผ่าหนึ่งที่มีอยู่ในตอนใต้ของประเทศไทยและตอนเหนือของมาเลเซีย ชาวเงาะหรือซาไกยังห่างไกลจากอารยธรรมมาก นับถือผีสางมีชีวิตและความเป็นอยู่คล้ายๆ กับพวกคนป่าในอัฟริกา ใช้ไม้ซางและลูกดอกอาบยาพิษแบบนี้เป็นอาวุธประจำตัว ปรากฏว่าพวกซาไกเป่าไม้ซางได้แม่นยำมาก แม้แต่เสือโคร่งชาวซาไกก็สังหารได้โดยเป่าลูกดอกอาบยาพิษถูกนัยน์ตาเสือ พวกซาไกส่วนหนึ่งได้ร่วมมือกับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ทำการต่อสู้กับตำรวจและทหารไทย อาวุธแบบนี้แหละได้สังหารทหารไทยและตำรวจภูธรชายแดนตายไปแล้วเกือบ ๓๐ คน พวกซาไกซึ่งชำนาญในภูมิประเทศแอบยิงพวกเราทีละคนสองคนด้วยลูกดอกอาบยาพิษ ใครถูกยิงก็ไม่มีทางรักษาเพราะยาพิษอันร้ายแรงจะทำให้เขาต้องเสียชีวิตภายในสองสามนาที"
นายพลดิเรกนิ่งฟังด้วยความสนใจ
"ก็คงเป็นยางน่องหรือพิษงูเห่าแหละครับ"
"ครับ ผู้เชี่ยวชาญของกองทัพบกก็วิจัยอย่างนี้ ผมจำเป็นจะต้องส่งท่านศาสตราจารย์กับคณะเดินทางไปชายแดนโดยด่วน ท่านจะต้องใช้ความสามารถของท่านสืบหาความจริงให้ได้ว่า เพราะอะไรพวกซาไกจึงช่วยพวกโจรจีนสู้รบกับตำรวจและทหารไทย เมื่อทราบเหตุผลแล้วท่านก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้พวกซาไกเป็นพวกเรา และเป็นศัตรูต่อพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ ถ้าทำได้เช่นนี้การปราบโจรจีนค็อมมิวนิสต์ตามเส้นพรมแดนไทยกับมาเลเซีย ก็คงจะสำเร็จลุล่วงไปในไม่ช้านี้"
นิกรพูดเสริมขึ้น
"หรือมิฉะนั้นพวกผมก็ถูกพวกเงาะฆ่าตายอยู่ในป่า"
ท่านนายพลอาวุโสยิ้มให้นิกร
"ตายเพื่อประเทศชาติ และตายเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของประชาชนชายแดนภาคใต้ เป็นการตายที่มีเกียรตินะครับ"
นายจอมทะเล้นยิ้มแห้งๆ
"ถ้ายังงั้นคุณหลวงไปเสียเองไม่ดีหรือครับ"
"อ้าว ผมเป็นผู้บังคับบัญชาของคุณนะ แล้วกัน พูดยังงี้ถ้าคุณเป็นทหารประจำการผมเรียนสารวัตรมาเอาตัวไปขังที่กองรักษาการแล้ว"
"แหม-ผมพูดล้อเล่นนิดเดียวเท่านั้นก็ไม่ได้" นิกรพูดยานคาง "เอาละครับ จะใช้ผมให้ไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหนก็ตามใจ"
หลวงตะลุมบอนฯ หัวเราะชอบใจ แล้วหันมาพูดกับนายพลดิเรก
"การปราบปรามพวกซาไกนั้นยากลำบากมาก เพราะอาวุธของมันเป็นอาวุธเงียบ และพวกซาไกแอบซ่อนตัวได้เก่งเนื่องจากเกิดในป่าจึงชำนาญภูมิประเทศ ขณะนี้เท่าที่ผมได้รับรายงานทราบว่าพวกซาไกไม่ต่ำกว่า ๓,๐๐๐ คนที่ร่วมรบกับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ ทหารและตำรวจภูธรของเราถูกฆ่าตาย ด้วยลูกดอกอาบยาพิษเพิ่มจำนวนขึ้น ผมได้เรียกประชุมนายทหารเสนาธิการแล้ว ทุกคนลงความเห็นว่าศาสตราจารย์กับคณะเท่านั้น ที่จะทำให้พวกซาไกเลิกเป็นปรปักษ์ต่อพวกเราและกลายเป็นศัตรูต่อพวกค็อมมิวนิสต์จีน"
"ออไร๋ ตกลงครับคุณหลวง ผมและคณะของผมพร้อมเสมอที่จะเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตเป็นพลี เพื่อประเทศชาติที่รักของเรา"
"ผมชื่นใจมากที่ท่านศาสตราจารย์พูดเช่นนี้" พูดจบหลวงตะลุมบอนฯ ก็ลุกขึ้นยืน "เชิญทุกคนออกไปข้างนอกเถอะครับ ผมจะให้พันเอกอนันต์เขาเล่ารายละเอียดของพวกซาไกและการสู้รบระหว่างเรากับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ให้ฟัง พวกคุณจะได้ดูแผนที่บริเวณป่าจังหวัดสงขลา, ยะลา และนราธิวาสด้วย"
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างลุกขึ้นยืน พ.อ. พลเรียนถามท่านรองฯ อย่างนอบน้อม
"คุณหลวงจะให้พวกเราเดินทางไปเมื่อไรครับ"
"พรุ่งนี้สิครับ ขึ้นเครื่องบินไปลงสงขลา ต่อจากนั้นก็เดินทางโดยรถยนต์ไปอำเภอสะเดา พรมแดนไทยระหว่างอำเภอสะเดานี้ มีพวกซาไกร่วมรบกับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์มากกว่าด้านอื่น เพราะตำรวจภูธรชายแดนของเราถูกยิงตายทางด้านนี้ถึง ๙ คน ทหาร ๑๒ คน จากการรบในสวนยางและตามเขา"
การสนทนาสิ้นสุดลงเพียงนี้ ท่านนายพลอาวุโสพาคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ออกไปจากห้องทำงานอย่างรีบร้อน
โดยเครื่องบินลำเลียงเครื่องหนึ่ง ของฝูงบินลำเลียงกองทัพอากาศ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วได้เดินทางมาถึงสนามบินจังหวัดสงขลาในวันรุ่งขึ้น ก่อนเวลา ๑๑.๐๐ น.เล็กน้อย
ที่สนามบิน รองผู้บัญชาการจังหวัดทหารบกและนายทหารชั้นนายพันอีกสองคนได้มาคอยต้อนรับอยู่แล้ว คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วไปพักผ่อนอยู่ที่ค่ายทหารคอหงส์ราว ๓ ชั่วโมงก็ออกเดินทางไปอำเภอสะเดาโดยรถเก๋งตรากงจักรคันหนึ่ง
นายพลดิเรกกับคณะ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ราชการสำคัญในตอนเย็นวันนั้น ทั้งหกคนลงจากรถบุกเข้าไปในบริเวณสวนยางอันเวิ้งว้างกว้างขวางสุดสายตาระหว่างแดนต่อแดน แต่รัฐบาลไทยกับมาเลเซียได้ตกลงกันไว้แล้ว ตำรวจหรือทหารทั้งสองฝ่ายย่อมล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ เพื่อปราบปรามโจรจีนตามแผนการกวาดล้างซึ่งรัฐบาลไทยและมาเลเซียตั้งใจจะปราบโจรจีนค็อมมิวนิสต์ให้ราบคาบก่อนสิ้นปีนี้
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วแต่งเครื่องฝึกสวมหมวกแก๊ปทรงอ่อนมีปืนกลมือเป็นอาวุธ นอกจากนี้ยังมีปืนพกและระเบิดมือด้วย ขณะนี้ตำรวจและทหารหน่วยต่างๆ ที่กำลังติดตามค้นหาพวกโจรจีนได้ทราบข่าวทางวิทยุแล้วว่านายพลดิเรกกับคณะได้เดินทางมายังชายแดนเพื่อปฏิบัติหน้าที่พิเศษ ให้ทหารและตำรวจระมัดระวังก่อนที่จะลั่นกระสุนปืนออกจากลำกล้อง บรรดาผู้บังคับทหารและตำรวจต่างเข้าใจผิด คิดว่าทางการส่งคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ มาดูการปฏิบัติหน้าที่ของทหารและตำรวจ ดังนั้นพอได้รับข่าวทางวิทยุพวกทหารและตำรวจภูธรชายแดนต่างก็เข้มแข็งขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า
ทั้ง ๖ คนเดินขยายแถวเว้นระยะห่างกันประมาณ ๕ เมตร เป็นแถวหน้ากระดานเรียงเดี่ยว การหยุดหรือเคลื่อนที่ใช้สัญญาณมือโดยไม่มีการออกคำสั่ง เพราะในสวนยางอันสงบเงียบเช่นนี้ ถ้าส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นก็จะได้ยินไปไกลไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ เมตร ไม่มีใครรู้ว่าพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์หรือพวกซาไกหลบซ่อนตัวอยู่ตรงไหนบ้าง อาจจะแอบอยู่บนต้นไม้หรือตามแอ่งน้ำตามสุมทุมพุ่มไม้ได้ทั้งนั้น อย่างไรก็ตามคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต่างสวมเสื้อเกราะอ่อนอยู่ข้างในอันเป็นเสื้อเกราะที่ป้องกันกระสุนปืนได้ดี เว้นแต่จะถูกยิงในระยะเผาขน ส่วนลูกดอกที่ยิงจากไม้ซางนั้นอย่างไรก็ยิงไม่เข้า ทั้งนี้นับว่าเป็นความรอบคอบของนายพลดิเรก จอมนักวิทยาศาสตร์
เสียงเครื่องบินเฮลิค็อปเต้อรเครื่องหนึ่งบินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะในระยะต่ำ เครื่องบินของตำรวจไทยนั่นเอง นักบินตำรวจกำลังค้นหาพวกโจรจีนมลายู หรือโจรจีนค็อมมิวนิสต์ในบริเวณป่าหรือภูเขาแถบนี้
เมื่อเสียงปืนกลมือและเสียงปืนเล็กยาวดังแว่วมา แสดงว่ามีการปะทะกันเกิดขึ้น คณะพรรคสี่สหายก็หยุดเคลื่อนที่และเข้ามารวมกลุ่มกัน นายพลดิเรกขอเครื่องรับส่งวิทยุสนามพูดติดต่อกับทหารและตำรวจ
"ฮัลโหล นี่นายพลดิเรกพูด ใครได้ยินโปรดตอบด้วย"
"ฮัลโหล ร้อยตำรวจโท สุริยะพูดครับอาจารย์ เรากำลังยิงต่อสู้กับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ที่เชิงเขาหมายเลข ๒๔ ครับ"
"ทราบแล้ว ผมจะพาพวกเราไปสมทบกำลังเดี๋ยวนี้" พูดจบก็ปิดสวิทช์แล้วส่งวิทยุสนามให้ ส.อ. แห้ว เขาเดินเข้าไปหาพล "ดูแผนที่ซิโว้ย เขาหมายเลข ๒๔ อยู่ตรงไหน"
พ.อ. พลคลี่แผนที่ออก ทุกคนเข้ามาห้อมล้อมมองดูแผนที่ และแล้วคณะพรรคสี่สหายก็รีบเดินทางมุ่งตรงไปยังขุนเขาลูกหนึ่งซึ่งเทือกเขาของมันติดต่อกับภูเขาเล็กๆ อีกหลายลูก
เมื่อสวมเครื่องแบบทหารของชาติ การวิ่งบ้างเดินบ้างไม่ได้ทำให้สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย เสียงปืนที่ยิงโต้ตอบกันนั้นดังใกล้เข้ามาตามลำดับ จากสวนยางมาถึงบริเวณที่ตำรวจภูธรชายแดนขยายแถวหมอบยิงกับพวกโจรจีนนั้นอยู่ห่างประมาณหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง
ในที่สุด นายพลดิเรกกับคณะของเขาก็มาสมทบกำลังตำรวจภูธรชายแดนและหมอบยิงต่อสู้กับพวกโจรจีน ซึ่งตั้งรังปืนอยู่บนเนินเขารวม ๒ แห่ง เสี่ยหงวนคลานเข้ามาหาผู้บังคับหมวดตำรวจภูธรชายแดนคือ ร.ต.ท.สุริยะ
"ปืน ค. มีหรือเปล่าผู้หมวด" อาเสี่ยถามเสียงลั่น ซึ่งเขาหมายถึงปืนครกหรือเครื่องยิงระเบิด
"ไม่มีครับผู้การ อาวุธของเรามีแต่ปืนเล็กยาวและปืนยิงเร็วเท่านั้น"
"ถ้ายังงั้นผมแสดงเอง คุณสั่งตำรวจคอยยิงคุ้มกันผมไว้นะ ผมจะคลานขึ้นไปบนเนินเขา เอาลูกระเบิดขว้างรังปืนของมัน"
"โอ๊ะ อย่าเสี่ยงเลยครับผู้การ ผมเองก็คิดจะทำอย่างนี้แต่แรกแล้ว แต่เจ้านายสั่งให้ผมสงวนชีวิตตำรวจ"
"เถอะน่า เรื่องตายเรื่องขี้ผงสำหรับผม ผมจะแสดงให้ดู เรื่องนี้ผมเป็นพระเอกต้องแสดงเต็มที่"
พ.อ. กิมหงวนผุดลุกขึ้นยืน แล้ววิ่งก้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พวกโจรจีนระดมยิงกราดด้วยปืนกลมือราวกับห่าฝน เสี่ยหงวนล้มตัวลงนอนราบแล้วกลิ้งตัวเข้าไปกำบังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง สามสหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และตำรวจภูธรชายแดนในราว ๓๐ คนช่วยกันยิงคุ้มกันเสี่ยหงวนไว้ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวตลอดเวลา
เมื่อถึงคราวกล้าอาเสี่ยก็กล้าอย่างบ้าบิ่น เขาลุกขึ้นวิ่งมาถึงเชิงเขาอย่างรวดเร็วฉับพลัน กระสุนปืนของพวกโจรปลิวว่อนเฉียดร่างเขาไปอย่างหวุดหวิด บริเวณเชิงเขาและเนินเขาเต็มไปด้วยก้อนหินและต้นไม้ ช่วยเป็นฉากกำบังตัวกิมหงวน
ทุกคนแลเห็นกิมหงวนปีนขึ้นไปยังรังปืนของพวกโจรก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง โจรจีนคนหนึ่งถือปืนกลมือกระโดดออกมาจากรังปืนสอดส่ายตามองหาอาเสี่ย ทันใดนั้นเองเขาก็ถูกปืนของตำรวจล้มกลิ้งลงมาจนถึงเชิงเขา พวกโจรที่อยู่ในรังปืนยังคงยิงกราดอย่างดุเดือด จนกระทั่งอาเสี่ยคลานขึ้นมาเกือบถึงรังปืนทั้งสองแห่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
กิมหงวนปลดลูกระเบิดมือที่แขวนไว้กับอกเสื้อออกมา ใช้ปากคาบสายสลักนิรภัยและดึงมันออก ถือไว้สักครู่ก็ขว้างระเบิดมือลอยละลิ่วไปตกในรังปืนทางซ้ายอย่างเหมาะเจาะ
" ตูม"
รังปืนที่สร้างด้วยก้อนหินพังทลายราบ พวกโจรจีนห้าหกคนถูกชิ้นระเบิดเท่งทึงไปตามกัน โจรจีนในรังปืนทางขวารวม ๖ คนมีความรักตัวกลัวลูกระเบิดก็รีบตาลีตาเหลือกขึ้นมาจากรังปืน ตำรวจภูธรกับสามสหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับเจ้าแห้วช่วยกันยิงล้มกลิ้งไปตามกัน
เสียงปืนสงบเงียบลงแล้ว โจรจีนค็อมมิวนิสต์รวม ๑๔ คนตายเรียบไม่มีเหลือ ตำรวจภูธรชายแดนได้รับบาดเจ็บเพียงคนเดียวคือถูกยิงที่ไหล่ซ้ายถากไป ศาสตราจารย์นายพลดิเรกกับนายสิบตำรวจคนหนึ่งซึ่งเป็นบุรุษพยาบาลรีบให้ความช่วยเหลือทันที
ร.ต.ท.สุริยะ พาตำรวจจำนวนหนึ่งบุกขึ้นไปหา พ.อ. กิมหงวนเพื่อสำรวจรังปืนและความเสียหายทางฝ่ายโจร
"เป็นไงหมวด ผมแน่ไหม" เสี่ยหงวนถามยิ้มๆ
"เด็ดขาดเลยครับ ผู้การกล้าหาญที่สุด ผมเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้การมานานแล้วเพิ่งได้เห็นตัวจริงวันนี้เอง แต่ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ดิเรกคนหนึ่งนะครับ"
เสี่ยหงวนยิ้มแป้น เขาชี้มือเข้าไปในรังปืนของพวกโจร
"ดูซีคุณ พวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์นอนยิงฟันเหงเท่งทึงไปตามกัน พวกผมชอบทำการรบแบบสายฟ้าแลบไม่ชอบโอ้เอ้ล่าช้า"
"จริงครับ ผู้การเก่งจริงๆ "
"พอแล้วๆ ยอผมมากนักเดี๋ยวผมจะเสียคน อ้ายผมก็ชอบยอเสียด้วย แต่ผมก็เหมือนกับมนุษย์ทุกคนแหละนะผู้หมวด ใครๆ ก็ชอบยกยอปอปั้นด้วยกันทั้งนั้น อ้า-ประเดี๋ยวพวกเราก็จะจากผู้หมวดไปแล้ว"
"ผู้การจะไปไหนต่อไปล่ะครับ"
อาเสี่ยสั่นศีรษะ
"บอกไม่ได้หรอกคุณ เป็นราชการลับ เออ-ผมถามอะไรหน่อยนะ ตำรวจของพวกคุณถูกพวกซาไกลอบยิงตายด้วยลูกดอกอาบยาพิษบ้างหรือเปล่า"
"ไม่มีครับผู้การ หมวดของผมเพิ่งมารับหน้าที่เมื่อตอนเที่ยงวานนี้เอง และเพิ่งปะทะกับพวกโจรจีนตอนนี้เป็นครั้งแรกครับ"
"ถ้ายังงั้นคุณทราบหรือเปล่าว่า ตำรวจหรือทหารของเราตอนไหนที่ถูกพวกซาไกยิงตายด้วยลูกดอกอาบยาพิษ"
ร.ต.ท.สุริยะนิ่งคิด
"ระหว่างภูเขาที่ ๒๐ และ ๑๘ ครับ บริเวณทางทิศใต้เป็นป่าโปร่งและดงทึบ แล้วก็เป็นที่อยู่ของพวกซาไกครับ ผมทราบว่าพวกซาไกได้ร่วมรบกับพวกโจรจีนแถบนี้" พูดจบผู้บังคับหมวดก็หยิบแผนที่ออกมาจากย่าม แล้วคลี่ออกชี้ให้ พ.อ. กิมหงวนดูตามเส้นหมึกแดงที่เขากาไว้เป็นสำคัญ "นี่ครับ แถบนี้ครับผู้การ"
เสี่ยหงวนยิ้มแห้งๆ
"ป่วยการอธิบาย ผมดูแผนที่ไม่รู้เรื่องหรอกผู้หมวด เป็นอันว่าผมรู้ว่าขณะนี้พวกซาไกอยู่ตามป่าทางทิศใต้ของภูเขาหมายเลข ๑๘, ๑๙, และ ๒๐"
"ใช่ครับ"
พ.อ. กิมหงวนพาตัวลงไปที่เชิงเขาและตรงไปหาคณะพรรคของเขาซึ่งกำลังจับกลุ่มสนทนากัน นายพลดิเรกปราดเข้าไปยื่นมือให้อาเสี่ยสัมผัส
"เก่งมากอ้ายหงวน กลับไปกรุงเทพฯ กันจะเขียนรายงานเสนอความดีความชอบให้แก แกคือวีรบุรุษแห่งพรมแดนไทย-มาเลเซีย แกกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อเหมือนกับแกเล่นหนังว่ะ"
พ.อ. กิมหงวนทำตาปริบๆ
"มากไปโว้ย ขืนยอกันอย่างนี้กันอาจจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ก็ได้ ผู้หมวดเขาบอกกันว่าพวกซาไกร่วมรบกับพวกโจรอยู่ในป่าตอนใต้ของภูเขาหมายเลข ๑๘ ถึง ๒๐ "
"ออไร๋ ถ้ายังงั้นให้ผู้หมวดเขาลงมาจากเขาเสียก่อน เราจะได้ลาเขาไป แกถูกปืนบ้างหรือเปล่า"
"ถูก นี่ยังไงล่ะ มันยิงกันจนจมูกทะลุไปสองรู ที่หูอีกข้างละรู"
พล, นิกรกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ พากันเข้ามาหาเสี่ยหงวน ทุกคนต่างแสดงความยินดีเท่าที่อาเสี่ยเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตบุกขึ้นไปบนเนินเขา จนกระทั่งใช้ระเบิดมือขว้างทำลายรังปืนของโจรพังไปหนึ่งรัง อันเป็นเหตุให้พวกโจรที่อยู่ในรังปืนอีกรังหนึ่งกลัวระเบิดเผ่นออกมาให้ยิงตามสบาย
ใน ๑๐ นาทีนั้นเอง นายพลดิเรกกับคณะของเขาก็เคลื่อนที่ต่อไปมุ่งตรงไปยังภูเขาหมายเลข ๑๘, ๑๙ และ ๒๐ ซึ่งปรากฏในแผนที่และอยู่ไกลออกไปราว ๒ กิโลเมตร ส่วนตำรวจภูธรชายแดนหมวดนั้น ได้รับคำสั่งทางวิทยุให้ตั้งมั่นอยู่ที่นั่นก่อน จนกว่าจะสมทบกำลังกับตำรวจภูธรชายแดนอีกหมวดหนึ่งในวันพรุ่งนี้
ความมืดขมุกขมัวเริ่มปกคลุมไปทั่วป่ามาเลเซีย ขุนเขาเล็กๆ แลสลับซับซ้อนเป็นแนวยาวไปไกล ถึงแม้จะเปลี่ยนนามประเทศเป็นมาเลเซีย ประชาชนก็ยังนิยมเรียกมลายูอยู่นั่นเอง
นายพลดิเรกกับคณะบุกป่าฝ่าดงมาตามแผนที่แนวทาง จนกระทั่งใกล้จะถึงภูเขาลูกหนึ่งซึ่งตามที่ระบุไว้ว่าเป็นภูเขาหมายเลข ๑๘ ที่ตั้งชื่อเป็นหมายเลขก็เพื่อสะดวกในการติดต่อ ทางทหารและตำรวจนั่นเอง
ทั้ง ๖ คนเคลื่อนที่เป็นแถวเรียงเดี่ยวติดตามกันมา พ.อ. พล พัชราภรณ์ นำหน้า ถัดมา พ.อ. นิกร, พ.อ. กิมหงวน,พล.ต. ดิเรก, เจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วอยู่ท้ายแถว ปืนกลมือทุกกระบอกพร้อมที่จะพ่นกระสุนออกจากลำกล้องได้ทุกขณะ ขณะนี้เป็นเวลา ๑๗.๓๐ น. ถ้าอยู่ในเมืองหรืออยู่ในที่โล่งก็ยังคงเห็นดวงอาทิตย์และแสงแดดอันอบอุ่น แต่ในป่าย่อมเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยบดบังแสงอาทิตย์ พอ ๑๗.๐๐ น.ล่วงแล้ว ป่าดงพงไพรทุกแห่งก็เริ่มขมุกขมัวราวกับเวลาใกล้พลบ
นิกรรีบเดินเร่งฝีเท้าขึ้นมาจนถึงพลแล้วกระซิบบอก
"หยุดโว้ยพล หยุดเคลื่อนที่"
เมื่อพลหยุดทุกคนก็หยุดเคลื่อนที่เช่นเดียวกัน ต่างเข้ามายืนรวมกลุ่ม
"แกเห็นอะไรหรือได้ยินเสียงอะไรผิดปรกติหรือ" พลกระซิบถาม พ.อ. นิกรเช่นเดียวกัน
นิกรแหงนหน้าขึ้นสูดลมเข้าปอดสามสี่ครั้ง
"กันได้กลิ่นเหม็นสาปปนกับกลิ่นจั๊กกะแร้ว่ะ ต้องมีคนแอบซ่อนอยู่ในบริเวณนี้ แน่ะ-พอลมพัดมาฉุนกึกเลย อ้ายหมอนี่กลิ่นแรงจริง ถ้าโหนรถเมล์อยู่ข้างหน้าใครคนหลังแทบสลบทีเดียว"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ เกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ได้
"อย่าพูดเล่นนะอ้ายกร" ท่านกระซิบดุลูกเขยจอมทะเล้นของท่าน
"โธ่-ให้ดิ้นตายซีครับ คุณพ่อเคนชมผมทุกครั้งที่เข้าป่าว่าจมูกผมได้กลิ่นในระยะไกลดีกว่าคนอื่น ขณะนี้มันอยู่เหนือลมและเราอยู่ใต้ลม"
พ.อ. พลขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเขาได้กลิ่นเหงื่อไคลและกลิ่นรักแร้ของมนุษย์คนหนึ่งลอยมาตามลม เขายิ้มให้นิกรแล้วกระซิบว่า "จริงของแกโว้ยอ้ายกร มีคนแอบซุ่มอยู่เหนือลมอย่างน้อยคนหนึ่ง"
นายพลดิเรกใจเต้นระทึก
"งั้นเรอะ แกกับอ้ายหงวนไปจัดการเก็บมันเสียซี กันกับพวกเราจะรออยู่นี่ อย่าใช้ปืนเป็นอันขาด จงเอาเชือกที่เตรียมมารีดคอมันหรือมิฉะนั้นก็แทงมันด้วยมีดพกประจำตัวของเรา"
พลหันมาพยักหน้ายิ้มกับเสี่ยหงวน
"ไป-อ้ายหงวน เรื่องนี้แกเป็นพระเอกแกอาจจะต้องแสดงการฆ่าคนอย่างเหี้ยมโหดซึ่งเราจำเป็นต้องฆ่าถ้าหากว่ามันเป็นโจรจีนค็อมมิวนิสต์"
อาเสี่ยพยักหน้า
"ตกลง"
พลพากิมหงวนเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง สองสหายต่างสอดส่ายตามองหาเจ้าของกลิ่นตัวที่ดุเดือด การเคลื่อนไหวไม่อาจจะทำได้รวดเร็ว เพราะถ้าเดินเบียดเสียดกิ่งไม้หรือเหยียบกิ่งไม้ข้าศึกก็จะรู้ตัวเสียก่อน
ในที่สุด พลกับอาเสี่ยก็เข้ามาถึงด้านหลังของรังปืนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นรังปืนชั่วคราวแต่อยู่ในที่กำบังอันมิดชิด มีปืนกลเบา ๘ มม.กระบอกหนึ่งตั้งขาหยั่งเตรียมยิงอยู่ในระหว่างช่องท่อนไม้ที่สุมซ้อนกันไว้และมีใบไม้ปกปิด โจรหนุ่มในวัยเบญจเพสคนหนึ่ง แต่งกายคล้ายทหารสวมหมวกแก๊ปทรงอ่อน มีเครื่องหมายดาวแดงที่หน้าหมวก นั่งฝันหวานอยู่ในรังปืนตามลำพัง พวกโจรจีนมีวิธีการต่อสู้แบบกองโจร คือใช้กำลังคนเพียงเล็กน้อยดักซุ่มยิงตำรวจและทหารไทย หรือตำรวจและทหารมาเลเซีย แน่ละ ถ้าหากว่าทหารหรือตำรวจของเราผ่านมาทางนี้ก็คงจะถูกยิงตายเกลื่อนกลาดด้วยปืนกลเบากระบอกนี้ ถึงเราจะสังหารมันได้ฝ่ายโจรก็เสียชีวิตเพียงคนเดียว
พลพยักหน้าให้เสี่ยหงวนแล้วส่งเชือกเส้นหนึ่งยาวประมาณหนึ่งเมตรให้กิมหงวน
"เร็ว จัดการส่งมันไปนรกเสีย" พลกระซิบพูด
เสี่ยหงวนยิ้มแห้งๆ
"อย่าเลยวะ วันนี้วันพระเสียด้วย"
"แล้วกัน วันพระก็วันพระซีโว้ย การรบไม่เกี่ยวกับวันโกนวันพระนี่หว่า หรือแกไม่กล้าทำก็บอกมาตามตรง"
"นั่นน่ะซี สงสารมันว่ะ ให้กันยิงมันดีกว่า"
"ยิงไม่ได้" พลกล่าวห้ามทันที "เสียงปืนจะทำให้พวกโจรจีนและพวกซาไกแห่กันมาเล่นงานพวกเราซึ่งมีอยู่เพียง ๖ คนเท่านั้น ถึงแม้มีวิทยุพูดติดต่อขอกำลังมาช่วยได้ แต่กว่าทหารหรือตำรวจจะมาถึงเราก็ถูกฆ่าตายหมดแล้ว"
เสี่ยหงวนมองดูพลอย่างเกรงใจ แล้วพูดกระซิบกระซาบ
"แกแสดงเถอะวะ กันเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่กันไม่เคยเอาเชือกรัดคอใครเลย"
พลทำปากหมุบหมิบด่ากิมหงวน แล้วถือเชือกเส้นนั้นเดินจรดปลายเท้าเข้าไปข้างหลังโจรจีนหนุ่มผู้ถึงชะตากรรม มือทั้งสองของพลพันปลายเชือกไว้ เขาย่องเข้ามาจนถึงตัวก็ยกเชือกขึ้นรัดคอเจ้าหมอนั่นแล้วดึงเชือกเต็มแรง
โจรจีนดิ้นทุรนทุรายน่าสงสาร จะส่งเสียงร้องก็ร้องไม่ออกได้แต่ยกมือไขว่คว้าอากาศ วิธีสังหารเงียบแบบทหารอเมริกันทำให้โจรจีนผู้นั้นสิ้นใจตายชั่วเวลานาทีเดียว
พ.อ. พลหันไปมองดูเสี่ยหงวน
"เฮ้-บาปจังไว้ย เอาปืนยิงมันก็สิ้นเรื่องดันเอาเชือกรัดคอ"
พลหัวเราะเบาๆ
"ถ้าเราไม่ฆ่ามันมันเห็นเราเข้ามันก็ฆ่าเรา หรือปล่อยมันไว้มันก็ฆ่าพวกเรา ไปตามพรรคพวกเรามานี่เถอะ จะได้ปรึกษากับดิเรกดูว่าเราจะทำลายหรือยึดปืนกลเบากระบอกนี้"
เสี่ยหงวนเดินบ่นพึมพำกลับไป สักครู่หนึ่งเขาก็พาเจ้าคุณปัจจนึกฯ กับ นิกร,นายพลดิเรกและเจ้าแห้วมาที่รังปืนของโจรจีนค็อมมิวนิสต์ ทุกคนต่างพากันมองดูศพโจรหนุ่มด้วยความสนใจ
ศาสตราจารย์ดิเรกยิ้มให้พล
"เวอรี่กู้ด ยูจัดการได้เรียบร้อยดี ไม่มีเสียงกระโตกกระตากเลย"
พลว่า "แล้วปืนกลเบากระบอกนี้จะว่าอย่างไร"
นายพลดิเรกนิ่งคิด
"ก็ยึดเอาไป แต่เอาไปทิ้งที่ลับตาสักแห่งหนึ่งหรือทิ้งลงไปในหนองน้ำตามบึงก็ได้ ปืนแบบนี้ล้าสมัยเต็มทนไม่มีประโยชน์แก่เราหรอก เราใช้ปืนกลมือประจำตัวของเราดีกว่า"
นายพลดิเรกพาคณะของเขาเดินทางต่อไป เจ้าแห้วแบกปืนกลเบากระบอกนั้นมาด้วย
คืนนั้น คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต้องนอนกลางป่าริมลำห้วยแห่งหนึ่ง ปืนกลเบาที่ยึดมาได้พร้อมกระสุนถูกทิ้งลงไปในห้วยแล้ว นายพลดิเรกพยายามติดต่อกับทหารและตำรวจทางวิทยุสนามก็ไม่ได้ผล เพราะตำรวจและทหารอยู่ห่างไกลเกินรัศมีของเครื่องรับส่งวิทยุ อย่างไรก็ตามทุกคนอยุ่ในเครื่องแบบทหารของชาติจึงนอนกลางดินกินกลางทรายได้โยไม่มีใครบ่นว่าลำบากหรือเดือดร้อน
อาหารเช้าก็คือเสบียงที่นำใส่ย่ามมาจากค่ายทหารเมื่อบ่ายวันนี้ เหลือจากกินตอนค่ำถึงเช้า มีขนมปังปอนด์ เครื่องกระป๋อง นอกจากนี้เจ้าแห้วยังสามารถจับปลาในห้วยมาปิ้งกินอีกหลายตัว ในย่ามของทุกคนมีเสบียงกรังและเครื่องใช้เท่าที่จำเป็น เว้นแต่ย่ามของยายพลดิเรกมีแต่ยาและเครื่องเวชภัณฑ์หลายอย่างสมที่เขาเป็นหมอไม่ว่าจะเดินทางไปไหนเป็นต้องมียาติดตัวไป
หลังจากอาหารเช้าผ่านพ้นไปแล้ว สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ก็สำรวจบริเวณป่าดงพงไพรจากแผนที่ที่ติดตัวมาคนละฉบับและเป็นแผนที่ของทางราชการทหารบอกตำบลต่างๆ ไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแม้กระทั่งความสูงของภูเขาหมายเลขต่างๆ
จากแผนที่นี้จะเห็นได้ว่า ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสงขลาติดต่อกับเขตจังหวัดยะลาและมาเลเซีย ทิศตะวันตกติดต่อกับจังหวัดสตูลและมาเลเซีย ส่วนทิศใต้พอพ้นเขตอำเภอสะเดาก็เข้าแดนมาเลเซีย ขณะนี้กำลังส่วนใหญ่ของโจรจีนค็อมมิวนิสต์อยู่ตอนใต้ของสงขลาและตอนเหนือของจังหวัดยะลา แต่ทางพรมแดนนราธิวาสและสตูลก็มีอยู่บ้าง ซึ่งกำลังถูกตำรวจและทหารมาเลเซียโจมตีถอยร่นขึ้นมา
จากคำบรรยายของนายทหารเสนาธิการ นายพลดิเรกยังจำได้ดีว่าพวกซาไกหรือพวกเงาะได้ร่วมรบกับโจรจีนมลายูหรือโจรจีนค็อมมิวนิสต์อยู่ทางทิศใต้ของสงขลา เมื่อประมวลจากคำบอกเล่าของนายตำรวจภูธรตระเวนชายแดน นายพลดิเรกก็ใช้ปากกาขีดลงไปบนแผนที่ เป็นรูปวงกลมระหว่างบริเวณป่าและภูเขาหมายเลขที่ ๑๙ และ ๒๐ แล้วเขากล่าวกับคณะของเขาอย่างเป็นงานเป็นการว่า
"ออกเดินทางได้แล้วพวกเรา"
นิกรยิ้มให้ศาสตราจารย์ดิเรก
"กลับกรุงเทพฯ หรือ"
ท่านนายพลทำคอย่น
"ใครบอกล่ะ ยังทำงานไม่สำเร็จจะกลับยังไงวะ ออกเดินทางน่ะหมายความว่าออกตระเวนป่าแถบนี้เพื่อค้นหาพวกซาไก ซึ่งเราจะต้องใช้ความพยายามของเราจับเป็นให้ได้สักคนหนึ่งแล้วนำตัวเขามาสอบสวน เท่านี้เราก็จะได้ทราบความจริงว่า ทำไม เพราะอะไร เหตุไฉน ด้วยเหตุผลกลใดพวกซาไก หรือพวกเงาะจึงช่วยโจรจีนค็อมมิวนิสต์รบแทนที่จะช่วยฝ่ายเรา เพราะซาไกส่วนมากอาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินของเราอยู่มากกว่ามาเลเซีย"
กิมหงวนเห็นพ้องด้วย
"นั่นน่ะซี ตามประวัติศาสตร์พวกเงาะเคยเป็นมิตรที่ดีของคนไทยนี่นา ลูกชายของกษัตริย์เงาะองค์หนึ่งคือพระสังข์ทองก็ดั้นด้นเข้ามาในแดนไทยและได้พระธิดากษัตริย์ไทย คือธิดาท้าวสามลเป็นเมีย แล้วก็ในรัชสมัยสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าพระองค์หนึ่งเสด็จประพาสมลายูก็ได้ทรงนำเงาะมาเลี้ยงไว้ในราชสำนักคนหนึ่ง คือนายคะนังนั่นเอง พระองค์ทรงโปรดปรานมากถึงกับทรงพระราชนิพนธ์เสภาเรื่องเงาะป่าขึ้น มีเจ้าซมพลาเป็นพระเอกและนางลำหับเป็นนางเอก เป็นนิยายชิงรักหักสวาทน่าอ่านมาก"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ มองดูหน้า พ.อ. กิมหงวนแล้วหัวเราะหึๆ
"แกก็รู้เรื่องเงาะดีเหมือนกัน แต่แกเคยเห็นเงาะหรือซาไกบ้างหรือเปล่า"
เสี่ยหงวนนิ่งคิด
"เคยเห็นครับ"
"เห็นที่ไหนวะ"
"การแสดงนาฏศิลปใน ที.วี.น่ะซีครับ ผมเคยดูหลายครั้งแล้วตอนรจนาเสี่ยงพวงมาลัย"
"เงาะจริงๆ โว้ยไม่ใช่เงาะละคร" เจ้าคุณตวาดแว้ด
"อ๋อ เคยเห็นครับ เคยกินด้วย แต่ผมชอบทุเรียนมากกว่า"
"แหม-พูดกับแกยวนดีโว้ยพับผ่า ฉันหมายถึงพวกซาไกหรือพวกเงาะในป่านี้ แกเคยเห็นมันหรือเปล่า แล้วก็พวกเราใครเคยเห็นบ้าง"
กิมหงวนยิ้มแห้งๆ แล้วสั่นศีรษะ พล, นิกร, นายพลดิเรกและเจ้าแห้วต่างปฏิเสธว่าไม่เคยเห็น แล้วนิกรก็ย้อนถามพ่อตาของเขา
"คุณพ่อล่ะครับเคยเห็นมันหรือเปล่า"
ท่านเจ้าคุณพยักหน้าช้าๆ
"เคยเห็นที่ลพบุรีครั้งหนึ่งแต่นานมาแล้ว ก่อนสงครามอาเซียบูรพา พ่อเคยเห็นเงาะสองคนผัวเมีย ทางการได้ปลูกบ้านให้มันอยู่ในบริเวณสวนสัตว์ แต่จำไม่ได้ว่ารูปร่างมันสูงใหญ่โตแค่ไหน นึกได้แต่เพียงว่าเป็นชาวป่าเผ่าหนึ่งเหมือนกับพวกชาวป่าชาวเขาที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศเรา แต่ว่าพวกซาไกมีอยู่ในดินแดนตอนใต้ของประเทศไทยและตอนเหนือของมาเลเซียเท่านั้น"
นายพลดิเรกพูดเสริมขึ้น
"ผมเองก็ยอมรับว่า ผมไม่เคยพบเห็นพวกซาไกเลยและไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับเรื่องซาไกแม้แต่น้อย" แล้วเขาก็หันมาทาง พ.อ. กิมหงวน ชี้มือลงบนแผนที่อธิบายให้อาเสี่ยทราบ "ขณะนี้เราอยู่ในอาณาเขตของเรา แกดูแผนที่นี่ซิ เราจะลาดตระเวนอยู่ระหว่างเส้นพรมแดนนี้ จากจุดนี้ถึงจุดนี้"
อาเสี่ยสั่นศีรษะ
"อย่าให้กันดูเลยวะ กันไม่เป็นประสาหรอกในเรื่องแผนที่ กันชำนาญในเรื่องการค้าเท่านั้น ดูแผนที่นี่แล้วเวียนหัวว่ะ เมืองสงขลาออกเบ้อเริ่ม แล้วยังเมืองยะลา, ปัตตานี, นราธิวาส และสตูลอีก ย่อไว้เหลือเพียงฟุตกว่าๆ และยาวสองฟุตเท่านั้น มีแต่เส้นหยุกหยิกขีดไปขีดมาดูจนตาเหล่ก็ไม่รู้เรื่อง ภูเขาก็เขียนเป็นรูปกิ้งกือเลื้อย แล้วยังระบายสีให้ปวดลูกนัยน์ตาเสียอีก"
เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างครื้นเครง ต่อจากนั้นนายพลดิเรกก็พาคณะของเขาออกเดินทางสำรวจป่าค้นหาพวกซาไกต่อไป การเดินทางจากที่พักได้เริ่มต้นในเวลา ๘.๐๐ น. เศษ เขาลองพูดวิทยุสนามติดต่อกับหน่วยทหารหรือ ตำรวจภูธรชายแดนอีกหลายครั้งก็ติดต่อไม่ได้ เพราะอยู่ห่างไกลกันเกินรัศมีของเครื่องรับส่งวิทยุสนาม
บริเวณป่าสงบเงียบวังเวง นานๆ ก็ได้ยินเสียงสัตว์ใหญ่ร้องคำรามแว่วมาแต่ไกล ทั้ง ๖ คน เดินตามกันเป็นแถวเรียงเดี่ยวและเว้นระยะห่างจากกันตามสมควร พ.อ. พลสั่งห้ามทุกคนไม่ให้ปริปากพูดอะไรแม้แต่คำเดียว นอกจากนี้ยังห้ามสูบบุหรี่และให้คอยดูอาณัติสัญญาณจากมือของเขา ทุกคนสอดส่ายมองไปรอบๆ แม้กระทั่งบนต้นไม้และตามแอ่งหินหรือตามพุ่มไม้อันหนาทึบ ปืนกลมือทุกกระบอกพร้อมที่จะส่งกระสุนออกจากลำกล้องของมันได้ทุกขณะ
เนื่องจากนิกรมีประสาทจมูกไวเหมือนสุนัข พลจึงสั่งให้นิกรเดินตามหลังเขา การค้นหาซาไกและพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ในป่าสูงเป็นไปด้วยความยากลำบาก ภูมิประเทศบางแห่งแทบจะบุกไปไม่ได้เพราะมีต้นไม้และหญ้าคาปกคลุมหนาแน่น
หนึ่งและสองชั่วโมงผ่านพ้นไปแล้ว
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ เดินมาถึงบริเวณป่าโปร่งแห่งหนึ่งพลก็หยุดชะงักจ้องตาเขม็งมองไปที่พุ่มไม้ทางขวามือของเขา
"อะไรวะ" นิกรถามเสียงสั่นๆ
"มีทหารหรือตำรวจนอนตายอยู่ในพุ่มไม้นั่นหนึ่งคนเห็นไหม"
ทุกคนเข้ามารวมกลุ่มกันและมองตามสายตา พ.อ. พล ต่างแลเห็นส่วนขาทั้งสองข้างซึ่งสวมเครื่องแบบและสวมรองเท้าครึ่งน่องโผล่ออกมาพ้นพุ่มไม้ในท่านอนหงาย ศพนี้เพิ่งตายใหม่ๆ ยังไม่ขึ้น พลพาพรรคพวกเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฎว่าเป็นศพของทหารมาเลเซียในวัยหนุ่มฉกรรจ์ที่คอของเขามีลูกดอกเสียบแสดงว่าเขาถูกพวกซาไกยิงด้วยลูกดอกจากอาวุธไม้ซาง และเป็น ลูกดอกอาบยาพิษ ทำให้ทหารหนุ่มเพื่อนบ้านของเราต้องเสียชีวิต
แลเห็นศพและเห็นลูกดอกเสียบคอหอย นิกรก็หน้าถอดสี เขากระซิบกระซาบกับเจ้าแห้วเบาๆ
"เฮ้ย หลวงพ่อน่ะท่านคุ้มกันลูกดอกได้หรือเปล่าวะ"
เจ้าแห้วฝืนยิ้ม
"รับประทานยังไงก็ไม่ทราบครับ ที่เคยทดลองกันลองแต่พวกมีดหรือดาบหรือปืนเท่านั้น"
นิกรกลืนน้ำลายติดๆ กันหลายครั้ง
"ชักเสียวคอว่ะ ถึงแม้กันมีหลวงพ่ออยู่หลายองค์และสวมเสื้อเกราะอ่อนป้องกันกระสุนปืนก็ยังนึกเสียวๆ อยู่นั่นเอง"
เจ้าแห้วเห็นพ้องด้วย
"นั่นซีครับ รับประทานเราโดนยิงคอหอยอย่างนี้ รับประทานเราอาจจะเท่งทึงก็ได้"
นิกรฝืนยิ้ม
"แกเอาพระมาหรือเปล่า"
"รับประทานเอาหลวงพ่อโกยมาองค์เดียวครับ"
นายพลดิเรกลงนั่งยองๆ ข้างศพและตรวจดูศพพลทหารหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย สักครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้นยืน
"เขาตายในราว ๑๘ ชั่วโมง เคลื่อนที่ต่อไปเถอะพวกเราแถวนี้ไม่มีพวกซาไกหรอก ทหารคนนี้ถูกยิงซมซานมาจากที่อื่น"
เจ้าแห้วมองดูศพทหารมาเลเซียด้วยความสงสาร
"โถ-รับประทานลูกผัวใครก็ไม่รู้ มาเท่งทึงอยู่ในป่า"
พ.อ. พลพาพรรคพวกออกเดินทางต่อไปและสั่งให้ทุกคนเพิ่มการระมัดระวังตัวยิ่งขึ้นอีก พวกซาไกอาจจะแอบซ่อนตัวตามพุ่มไม้อันหนาทึบเพื่อจ้องสังหารด้วยลูกดอกอาบยาพิษด้วยการยิงในระยะเผาขน ถึงแม้ทุกคนสวมเกราะอ่อนไว้ในเครื่องแบบ ถ้าลูกดอกถูกคอถูกศีรษะหรือถูกแขนขาก็จะต้องเสียชีวิต เสื้อเกราะอ่อนคุ้มกันได้เฉพาะหน้าอกและส่วนท้องเท่านั้น
จนกระทั่ง ๑๑.๔๕ น.
ทุกคนมาถึงลำธารสายหนึ่งซึ่งเป็นลำธารตื้นๆ กว้างประมาณ ๖ เมตร มองแลเห็นก้อนกรวดทรายที่ก้นลำธารนั้น คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ หยุดยืนรวมกลุ่มกันทางฝั่งขวาของลำธารตั้งใจจะหยุดพักรับประทานอาหารกลางวันที่นี่
ทันใดนั้นเองลูกดอกลูกหนึ่งก็แหวกอากาศพุ่งตรงมากระทบหน้าอกของนายพลดิเรกอย่างแรง แต่เสื้อเกราะอ่อนที่สวมใส่อยู่ข้างในช่วยป้องกันชีวิตของจอมนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ไว้ได้
พ.อ. พล พัชราภรณ์ แลเห็นพุ่มไม้เบื้องหน้าเขาสั่นไหวผิดปกติก็ปล่อยกระสุนปืนกลมือออกไปหนึ่งชุด ด้วยความมั่นใจว่าซาไกที่ลอบยิงนายพลดิเรกต้องแอบซ่อนอยู่ในนั้น
เสียงปืนกลมือราวห้าหกนัดดังกังวานกึกก้องป่า ทำให้นกกาแตกตื่นบินว่อนด้วยความตกใจ ความคาดคะเนของพลถูกต้องแล้ว คณะพรรคสี่สหายได้ยินเสียงใครร้องโอดโอยอยู่ในพุ่มไม้ ทุกคนถือปืนกลมือวิ่งบุกเข้าไปอย่างรวดเร็วฉับพลัน และแล้วต่างก็แลเห็นเงาะผู้ชายวัย ๔๐ เศษ คนหนึ่งนอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นดิน ชายผู้นี้รูปร่างเล็กมากตามพันธุ์ของพวกเงาะ เหมือนกับเด็กอายุ ๑๒ ขวบเท่านั้นแต่หน้าตาแก่เหมือนผู้ใหญ่วัย ๔๐ ปี นุ่งกางเกงกรอมเข่าซึ่งเป็นผ้าฝ้ายย้อมสีน้ำเงิน ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าแลเห็นผิวเนื้อค่อนข้างคล้ำ ใบหน้าของเขาเหี้ยมเกรียมผมหยิกตามธรรมชาติโดยไม่ต้องจ้างช่างดัดผมดัดหรือเป่าลอนแบบจิ๊กโก๋ทั้งหลาย ข้างตัวซาไกนี้มีไม้ซางยาวประมาณ ๒ เมตร วางอยู่อันหนึ่งพร้อมด้วยกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ บรรจุลูกดอกประมาณ ๒๐ อัน
"เฮ้ย-อ้ายหนู" เสี่ยหงวนเอ็ดตะโรลั่น "นี่เอ็งนึกยังไงวะถึงมาแอบยิงพวกข้า ซนไม่เข้าเรื่องนี่นา"
ซาไกกำลังเจ็บปวดขมวดคิ้วนิ่วหน้า แต่เมื่อได้ยินกิมหงวนเรียกเขาว่าอ้ายหนู และพูดกับเขาราวกับว่าเขาเป็นเด็กทารกเขาก็หัวเราะชอบใจ
"ผมไม่ใช่เด็กหรอกครับนาย"
เสี่ยหงวนตวาดลั่น
"ยังจะเถียงอีก ตัวแกโตกว่าลูกหมาหน่อยเดียวเท่านั้น อย่างมากก็อายุ ๑๒ ขวบ เล่นยังงี้ได้เรอะ เพื่อนฉันไม่รู้ว่าแกเป็นเด็กเลยเอาปืนยิงแกเข้าเห็นหรือยังอ้ายหนู นี่แหละผลแห่งการซุกซนเล่นไม่เข้าเรื่อง มีลูกดอกก็ยิงนกยิงปลาซีโว้ยไหงมาเที่ยวยิงคนล่ะ"
หัวหน้าเผ่าซาไกรวบรวมกำลังลุกขึ้นนั่ง
"ผมอายุ ๔๓ ปีแล้ว" เขาพูดเสียงแปร่งๆ "ผมไม่ใช่เด็กครับ พวกซาไกทั้งหญิงชายล้วนแต่มีรูปร่างขนาดผม"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ พูดเสริมขึ้น
"เออ จริงโว้ยอ้ายหงวน อานึกออกแล้ว เงาะผัวเมียที่อาเคยเห็นที่ลพบุรีรูปร่างเล็กเหมือนเด็กๆ มีลูกด้วยกันคนหนึ่ง ถูกละ พวกซาไกเป็นมนุษย์พันธุ์เล็ก"
นายพลดิเรกทรุดตัวลงนั่งประคองหัวหน้าเผ่าซาไก เขาถูกยิงที่ขาขวากระสุนฝังในซึ่งจำเป็นต้องผ่าตัดเอาหัวกระสุนปืนออกเพื่อความปลอดภัยแห่งชีวิตของเขา
"แกเป็นใคร" นายพลดิเรกถามยิ้มๆ "ดีใจที่แกพูดภาษาไทยได้"
"ผมชื่อคานูครับนาย โอ๊ย ผมคือหัวหน้าเผ่าซาไกในป่านี้ นายช่วยเอาปืนยิงผมทีเถอะครับ ผมปวดจนทนไม่ไหวแล้ว ฆ่าผมเสียเถอะ"
"อดทนหน่อยคานู ฉันเป็นหมอ ฉันจะช่วยแก หมู่บ้านของแกอยู่ไกลจากนี่ไหม"
คานูขบกรามกรอดและขมวดคิ้วนิ่วหน้า
"ราว ๑๐๐ เส้นครับ แต่ผมไปไม่ไหว ผมอยากตายให้พ้นความทรมาน"
นายพลดิเรกนิ่งคิดแล้วก็ตัดสินใจทำการผ่าตัดที่นี่
"ช่วยกันหน่อยโว้ยพวกเรา กันจะผ่าตัดเอากระสุนปืนออกช่วยชีวิตหัวหน้าเผ่าซาไกไว้ ถึงแม้เขาเป็นศัตรูของเราแต่กันเป็นหมอ กันต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่ป่วยไข้หรือบาดเจ็บ"
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้นด้วยความเกลียดชัง
"รับประทานยิงทิ้งเสียดีกว่าครับ ถ้าคุณหมอไม่สวมเสื้อเกราะอ่อน รับประทานคุณหมอก็เท่งทึงไปแล้ว ผมจัดการเองครับ พระท่านว่าเวรย่อมระงับด้วยการจองเวร"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ หัวเราะก้าก
"พระองค์ไหนวะที่สอนแกอย่างนี้"
"ท่านสมีชุ่มวัดกระบุงทะลุครับ"
"อ้อ มิน่าล่ะถึงได้เป็นสมี"
ทุกคนนั่งห้อมล้อมหัวหน้าเผ่าซาไก นายพลดิเรกปลดย่ามของเขาออกมาจากบ่า หยิบกล่องยาและเครื่องเวชภัณฑ์ออกมา เข็มและหลอดฉีดยาของเขาเตรียมมาหลายเข็มและทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้ว ส่วงนเครื่องมือผ่าตัดก็มีอยู่หลายชิ้นและสะอาดเรียบร้อยไม่มีเชื้อโรค
พลกับเจ้าแห้วทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแพทย์คอยส่งของให้ตามที่นายพลดิเรกต้องการ หลังจากศาสตราจารย์ดิเรกได้ล้างแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเรียบร้อยแล้ว เขาก็ฉีดยาชาให้หัวหน้าเผ่าซาไกหนึ่งเข็ม
นายพลดิเรกแกล้งกระเซ้านิกร
"แกช่วยผ่าเอาลูกปืนออกทีเถอะวะ เครื่องมือวางอยู่บนถุงยางนี่พร้อมแล้ว
พ.อ. นิกรทำหน้าเหยเก
"ไม่ไหวโว้ย เมียเขาวานบ่งหนามให้เขาหน่อยเดียวยังใจไม่ดี"
นายพลดิเรกอดหัวเราะไม่ได้
"ถ้ายังงั้นแกคอยดู การผ่าตัดเอาลูกปืนออกไม่ยากลำบากอะไรหรอก กระสุนมันจมอยู่ในเนื้อเพราะติดกระดูกขาเพียงแต่กรีดแผลออกให้กว้างเอาคีมคีบลูกปืนออกมาแล้ว ก็ทำความสะอาดแผลเย็บแผล ฉีดยากันบาดทะยักให้คนไข้อีกเข็มเดียวก็เสร็จเรื่อง อีกในราว ๑๐ วันเขาก็หายเป็นปกติ แต่หมอที่ขาดความชำนาญมีเครื่องมือมาเท่านี้คงไม่กล้าผ่าตัดแน่ๆ อย่างกันมันยอดหมอ ไส้เดือนมันกลืนเข็มหมุดเข้าไปกันยังช่วยชีวิตมันไว้ผ่าเอาเข็มหมุดออกมาได้"
"ชักโม้ละโว้ย" เสี่ยหงวนพูดเสริมขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ
นายพลดิเรกหันมาค้อน ต่อจากนั้นเขาก็จัดวางเครื่องมือให้เรียงกันเป็นลำดับ
การผ่าตัดเอากระสุนปืนออกจากขาของหัวหน้าเผ่าซาไกนั้น นายพลดิเรกได้กระทำอย่างคล่องแคล่วว่องไว แสดงความรู้ความชำนาญอันยอดเยี่ยมของเขา เขาใช้เวลาเพียง ๕ นาทีเท่านั้น เปิดปากแผลคีบเอาหัวกระสุนปืนกลมือออกมาได้ เสร็จแล้วก็รีบชำระล้างแผล และเย็บแผลโดยเร็วก่อนที่ยาชาจะหมดฤทธิ์ คนไข้นอนหนุนแขนตัวเองมองดูนายพลดิเรกด้วยความซาบซึ้งใจในความกรุณาของเขา ความเจ็บปวดซึ่งเป็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัสของเขาหายไปแล้ว นายพลดิเรกได้ฉีดยากันบาดทะยักให้หนึ่งเข็มแล้วสั่งเจ้าแห้วให้ทำความสะอาดเครื่องมือ นำเครื่องมือไปล้างในลำธาร
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ประคองคนไข้ลุกขึ้นนั่งแล้วกล่าวถาม
"เป็นยังไงบ้างแคนู"
หัวหน้าเผ่าซาไกยิ้มเศร้าๆ
"ผมชื่อคานูครับนาย แคนูนั่นมันเรือหัวงอนท้ายงอนแบบเรือบด" แล้วเขาก็ประณมมือไหว้ศาสตราจารย์ดิเรก "ผมขอบคุณมากครับที่นายได้ช่วยชีวิตผมไว้ นายเป็นทหารหมอหรือครับ"
"ใช่ พวกเราเป็นทหารหมอถูกส่งมาช่วยเหลือชาวซาไกที่ป่วยไข้ไม่สบาย"
คานูลืมตาโพลง
"รัฐบาลส่งมาช่วยพวกผม โธ่-ทำไมรัฐบาลท่านดีอย่างนี้ล่ะครับ พวกผมได้เป็นกบฎเข้าข้างค็อมมิวนิสต์ช่วยรบกับตำรวจและทหารไทย และพวกเราได้ฆ่าตำรวจและทหารไทยตายไปหลายคนแล้ว"
นายพลดิเรกยิ้มให้คานู
"นั่นอาจจะเป็นเพราะพวกซาไกเข้าใจผิด หรือถูกปลุกปั่นยุยงหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์อะไรเหล่านี้"
"ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกครับนาย แต่ว่า พวกเรายากจนครับ เราอยู่ในป่าในดง เก็บของป่าขาย นายทหารค็อมมิวนิสต์เขามาติดต่อกับเราจ้างพวกเราให้ช่วยเขารบกับตำรวจทหารมลายูและตำรวจทหารไทยครับ ใครฆ่าตายได้คนหนึ่งพาเขามาดูศพเขาก็จ่ายเงินให้พันบาท"
ทุกคนนิ่งฟังด้วยความสนใจยิ่ง และบัดนี้ต่างก็ได้รู้ความจริงแล้วว่าเพราะอะไรพวกซาไกจึงช่วยโจรค็อมมิวนิสต์รบ
"จ่ายเป็นเงินไทยหรือเงินมลายู" พลถามหัวหน้าเผ่าซาไก
"พวกซาไกทางแดนไทยเขาจ่ายเป็นเงินไทยครับ จ่ายใบละร้อยล้วนๆ ถ้าพวกซาไกที่อยู่ในแดนมลายูเขาจ่ายเป็นเงินเหรียญมลายู ผมกับหัวหน้าเผ่าต่างๆ ได้ตกลงรับจ้างพวกทหารค็อมมิวนิสต์ฆ่าตำรวจและทหารมาครึ่งเดือนแล้ว พวกเราใครฆ่าตำรวจหรือทหารตายไปบอกเขามาดูศพเขาก็จ่ายเงินให้ทุกที"
นิกรพูดเสริมขึ้น
"พวกซาไกไม่น่าจะร่วมมือกับเขาเลย รู้หรือเปล่าว่าพวกนี้เป็นพวกโจรค็อมมิวนิสต์แต่แต่งเครื่องแบบทหาร แกกับพี่น้องชาวซาไกของแกอยู่ในผืนแผ่นดินไทยเป็นคนไทยเผ่าหนึ่ง ควรจะช่วยตำรวจและทหารไทยปราบโจรจีนที่ล่วงล้ำเข้ามาในแผ่นดินเราจึงจะถูก"
นายคานูถอนหายใจหนักๆ
"นายทหารเขาบอกพวกเราว่าตำรวจและทหารไทยจะจับพวกเราไปไว้ที่สวนสัตว์ในกรุงเทพฯ เพื่อให้คนดูในฐานะที่เราเป็นคนป่าตัวเล็กๆ ครับ"
นายพลดิเรกกล่าวขึ้นทันที
"นั่นเขาหลอกพวกแกให้เกลียดชังตำรวจและทหารไทย ไม่เป็นความจริงหรอกคานู รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีแต่จะช่วยเหลือชาวป่าชาวเขาทั้งหลาย ในไม่ช้านี้ถ้ามีทางหลวงตัดผ่านเข้ามาในป่า ชาวซาไกก็จะได้รับความสะดวกสบาย ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลมากมาย หมู่บ้านของพวกซาไกจะมีสถานีอนามัย มีกิ่งสถานีตำรวจ มีตลาด มีโรงเรียน"
นิกรพูดต่อ
"แล้วก็มีโรงแรมด้วย ฉันสงสัยเหลือเกินว่าเงินรางวัลที่พวกแกได้รับจากพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์น่ะคงเป็นธนบัตรปลอมแน่ๆ "
หัวหน้าเผ่าซาไกใจหายวาบ
"แบ๊งค์ปลอมหรือครับ "
"ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์จะไปเอาเงินมาจากไหน ทุกวันนี้ก็มีความเป็นอยู่อย่างอดอยากไม่ได้สุขสบายอะไร ได้ข่าวว่าหัวหน้าโจรแจกข้าวสารให้ลูกน้องหุงกินมื้อละ ๒๐ เม็ดเท่านั้น แกมีเงินที่ได้รางวัลจากพวกโจรติดตัวมาบ้างหรือเปล่าล่ะ"
"มีครับ ผมมีมาหลายร้อย ตั้งใจจะไปแวะซื้ออาหารที่หมู่บ้านของพวกชาวป่า" พูดจบเขาก็ล้วงกระเป๋าเสื้อ ล้วงมือเข้าไปในของกางเกงของเขา หยิบซองธนบัตรเก่าๆ ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงในออกมาเปิดออก แล้วส่งธนบัตรใบละร้อยบาทใหม่เอี่ยมปึกหนึ่งให้นิกร "นายช่วยดูให้ผมหน่อยเถอะครับ แบ๊งค์ของผมดีหรือเก๊"
นิกรรับมาดูแล้วทำหน้าเบ้ ส่งคืนให้นายคานูทันที
"ดูแพล็บเดียวฉันก็รู้ว่ามันเป็นธนบัตรปลอม พวกโจรจีนที่อยู่ในเมืองจะพิมพ์มาให้พวกมัน ลายเซ็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มี หากแกหรือพวกแกเอาเงินนี่ไปใช้ในเมืองจะถูกตำรวจจับและต้องติดคุกแน่นอนในฐานใช้เงินปลอม"
ไม่ต้องสงสัยว่านายคานูหัวหน้าเผ่าซาไกจะโกรธแค้น พวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์สักเพียงใด
"โอ๊ย-นี่พวกผมโดนต้มหรือครับนี่"
นายพลดิเรกหัวเราะเบาๆ
"อย่าสงสัยอะไรอีกเลย พาพวกเราไปหมู่บ้านของแกเถอะ แกจะต้องรีบป่าวร้องให้ชาวซาไกที่ได้เงินรางวัล ซาไกเผ่าต่างๆ มาพบกับแกเพื่อชี้แจงให้เขาทราบเรื่องนี้"
คานูเค้นหัวเราะ
"จริงครับ พวกเราชาวซาไกไม่เคยคดโกงใครหรือล่อลวงใคร แต่ถ้าใครหลอกลวงเราหรือคดโกงพวกเรามันผู้นั้นจะต้องถูกเราฆ่าตาย เราถือกันอย่างนี้มานานแล้ว"
เสี่ยหงวนถือโอกาสยุยงหัวหน้าเผ่าทันที
"มันต้องอย่างนั้น พวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์มันเอาแบ๊งค์ปลอมมาจ่ายให้พวกซาไกเป็นรางวัลก็หมายความว่ามันดูหมิ่นซาไกว่าเป็นคนป่าที่โง่เขลาเบาปัญญา จะหลอกลวงต้มยำอย่างไรก็ได้"
คานูมีสีหน้าเคร่งเครียดแสดงความโกรธแค้นแสนสาหัส
"ดีแล้วครับ ผมกับคนของผมจะประกาศตนเป็นศัตรูกับพวกโจรจีน เราจะสังหารมันด้วยลูกดอกอาบยาพิษ เราจะช่วยทหารไทยและตำรวจไทยปราบมันให้ราบคาบ"
"เป็นความคิดที่น่าสรรเสริญยิ่ง" กิมหงวนสนับสนุน "รู้สึกว่าแกเป็นคนกล้าหาญเข้มแข็งเด็ดขาดมากทีเดียว สมกับที่แกเป็นหัวหน้าเผ่าซาไกในถิ่นนี้ ไปเถอะกันกับเพื่อนจะช่วยประคองแกกลับไปยังหมู่บ้านของแก หรือแกขี่คอกันไปก็ได้ กันจะรู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่หัวหน้าซาไกขึ้นนั่งบนคอของกัน "
คานูยิ้มแก้มแทบแตก
"อย่าเลยครับ ช่วยประคองผมเดินไปดีกว่า ราวชั่วโมงเดียวก็ถึงหมู่บ้านซาไกของผม ผมเสียใจครับที่ผมกับพรรคพวกของผมคิดผิด ต่อไปนี้เราจะเป็นศัตรูกับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ และเราจะฆ่ามัน ฆ่ามันให้หมด ฆ่าให้หมด"
นิกรพูดเสริมขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
"ฆ่าให้เกลี้ยง"
ท่านเจ้าคุณกลืนน้ำลายเอื้อก
"พอแล้วอ้ายกร"
นายพลดิเรกสั่งให้เจ้าแห้วเก็บยาและเครื่องเวชภัณฑ์บรรจุลงย่ามของเขาตามเดิม ใน ๑๐ นาทีนั้นเองคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วก็พาหัวหน้าเผ่าซาไกมุ่งตรงไปยังถิ่นที่อยู่ของเขา เสี่ยหงวนกับพลช่วยประคองคานูคนละข้าง คานูหายเจ็บปวดจากพิษบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืนแล้ว แต่ยังเดินกระโผลกกระเผลก
ก่อนพลบค่ำวันนั้นเอง หัวหน้าเผ่าซาไกในแดนไทยและในเขตมาเลเซียประมาณ ๑๐ คนก็รุดมาพบกับคานูตามที่เขาส่งคนไปหาแจ้งเรื่องธนบัตรปลอมให้ทราบ และขอร้องให้ทุกคนมาพบกับเขาที่หมู่บ้านซาไกในหุบเขาแห่งหนึ่ง
คานูได้แนะนำให้พวกหัวหน้าเผ่ารู้จักกับนายพลดิเรกกับคณะ ซึ่งนายพลดิเรกก็ถือโอกาสกล่าวคำปราศรัยและชี้แจงให้บรรดาหัวหน้าเผ่าได้ทราบว่า พวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์นั้นกำลังตกอยู่ในความคับขันถูกทหารและตำรวจของมาเลเซียและทางไทยเราโจมตีจนกระจัดกระจายไปแทบจะคุมกันไม่ติด พวกโจรขาดแคลนเสบียงอาหารและยารักษาโรค นายโจรจึงวางแผนพิมพ์ธนบัตรปลอมจ้างพวกซาไกให้ฆ่าทหารและตำรวจ แล้วก็จ่ายธนบัตรปลอมให้ซึ่งธนบัตรเหล่านี้พิมพ์เลอะเลือนไม่มีลายเซ็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในที่สุดนายพลดิเรกก็เอาธนบัตรใบละร้อยบาทของเขา ออกมาเปรียบเทียบกับธนบัตรปลอมให้หัวเน้าเผ่าได้ดูทั่วหน้ากัน
ไม่มีปัญหาอะไรอีก บรรดาหัวหน้าเผ่าซาไกต่างโกรธแค้นพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์และประกาศตนเป็นศัตรูทันที เจ้าคุณปัจจนึกฯ ได้กล่าวกับหัวหน้าเผ่าว่า รัฐบาลไทยไม่เคยคิดที่จะจับกุมพวกซาไกไปไว้ที่สวนสัตว์เขาดินในกรุงเทพฯ มีแต่กำลังตัดถนนเข้ามาเพื่อให้ความช่วยเหลือพวกที่อาศัยอยู่ในป่า โดยเฉพาะพวกซาไก รัฐบาลนี้คือรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
บรรดาหัวหน้าเผ่าต่างไชโยโห่ร้องกึกก้อง และประกาศตัวว่าพวกซาไกทุกเผ่าจะถือว่าพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์เป็นศัตรูอันร้ายกาจ ซาไกจะฆ่าทำลายให้หมดสิ้น ก่อนที่หัวหน้าเผ่าจะลากลับ พ.อ. พลได้เตือนพวกหัวหน้าเผ่าว่าเมื่อกลับไปถึงถิ่นที่อยู่แล้ว ขอให้นำธนบัตรปลอมที่อยู่ในครอบครองเผาเสียให้หมด อย่าได้เก็บไว้ให้เป็นประโยชน์แก่พวกโจรจีน ค็อมมิวนิสต์อีกเลย
คืนนั้น พวกซาไกที่มีคานูเป็นหัวหน้าเผ่าได้จัดงานรื่นเริงเลี้ยงรับรองนายพลดิเรกกับคณะ มีการเลี้ยงหมูเห็ดเป็ดไก่อย่างเหลือเฟือพร้อมทั้งผลไม้และเหล้าเถื่อน การเต้นรำรอบกองไฟเป็นไปอย่างสนุกสนาน งานราตรีสันติบาตนี้พวกซาไกไม่ได้แต่งชุดราตรีสโมสรคงแต่งตามความสะดวก บรรดาผู้หญิงสาวและไม่สาวแต่งท็อปเลสเปลือยอกล่อนจ้อนเย้ยฟ้าท้าดิน ซาไกเหล่านี้ถึงตัวเล็กแต่ก็แข็งแกร่ง ขึ้นต้นไม้ได้รวดเร็วเหมือนลิง วิ่งเร็วเหมือนม้า และรู้จักหลบซ่อนตัวเมื่อภัยมีมา การต่อสู้กับศัตรูก็คือไม้ซางกับลูกดอกอาบยาพิษ แม้กระทั่งช้างป่าเมื่อถูกลูกดอกอาบยาพิษก็ไปไม่รอด มันจะสิ้นชีวิตภายในสองสามนาทีนั้น
วันต่อมา
นายพลดิเรกกับคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ได้ร่วมงานปราบโจรจีนกับคานูอย่างใกล้ชิด นักรบซาไกเกือบ ๑๐๐ คน พร้อมด้วยไม้ซางและลูกดอกเคลื่อนออกจากหมู่บ้านในเวลา ๙.๐๐ น.เศษ ผ่านช่องเขาออกไปซึ่งคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าแห้วได้ร่วมสมทบกำลังมาด้วย เมื่อออกมาพ้นช่องเขา คานูก็สั่งให้ไพร่พลและแบ่งกำลังออกเป็น ๒ กอง เพื่อจะได้แอบซุ่มซ่อนตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ระหว่างช่องทางธรรมชาติที่จะผ่านไปยังช่องเขา
คานูเรียกเจ้าหนุ่มฉกรรจ์คนหนึ่งเข้ามาหาเขา
"ฮารา เจ้าจงวิ่งไปยังค่ายโจรของร้อยเอกเทียนหลุ่นเดี๋ยวนี้"
"ครับ" หนุ่มซาไกรับคำสั่งแล้ววิ่งตื๋อไปทันที
"เฮ้ย กลับมาก่อน" คานูตะโกนลั่น "กลับมาก่อน ฮารา"
เจ้าหนุ่มฮาราห้ามล้อพรืดหมุนตัวกลับวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาหัวหน้าเผ่าท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของพวกซาไก
"ไปไหนวะ" หัวหน้าเผ่าตะคอกสมุนคนสนิทของเขา
"ก็ไปหาร้อยเอกเทียนหลุ่นน่ะซีครับ"
คานูแยกเขี้ยว
"แล้วมึงรู้หรือว่ากูให้ไปทำไม"
"นั่นน่ะซีครับ"
"ฟังคำสั่งให้เข้าใจเสียก่อนแล้วค่อยไป ไปหาร้อยเอกเทียนหลุ่นและบอกเขาว่าตำรวจไทย ๑๕ คนได้เข้ามายึดหมู่บ้านของเรา ขอให้เขายกกำลังมาช่วยเร็ว เท่านี้แหละเข้าในไหม"
"เข้าใจครับ"
"เข้าใจก็รีบวิ่งไป แล้วเจ้าพยายามหลบหลีกเอาตัวรอดก่อนที่พวกโจรจะมาถึงบริเวณที่เราซุ่มกำลังไว้"
"ครับ"
"ไปซี" หัวหน้าเผ่าเตือน
"ไปเดี๋ยวนี้หรือครับ"
"เออ"
ฮาราวิ่งไปจากที่นั้นโดยเร็ว ไม่ผิดอะไรกับกระต่ายป่าที่กำลังหลบหนีภัย สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ ต่างหัวเราะชอบอกชอบใจไปตามกัน ท่านเจ้าคุณกล่าวกับพลว่า
"อานึกว่าคนอย่างอ้ายแห้วจะมีคนเดียวในโลก เกิดมีอ้ายแห้วคนที่สองขึ้นแล้วคือเจ้าหนุ่มซาไกคนนี้"
พลอดหัวเราะไม่ได้
"ครับ ท่าทางทะลึ่งพอดูแต่ก็คล่องแคล่วดี"
เจ้าแห้วพูดเสริมขึ้น
"รับประทานสำหรับผมถึงทะลึ่งก็น่ารักนะครับ"
พลขยับเท้าแต่เจ้าแห้วรีบฟุตเวิ้คถอยออกไปเสียก่อน นายพลดิเรกเดินเข้าไปยื่นมือให้หัวหน้าเผ่าซาไกสัมผัสแสดงความเป็นมิตรอันสนิทสนม
"แนะนำฉันหน่อยคานู พวกฉัน ๖ คนจะอยู่ตรงไหนดี"
คานูผู้ชำนาญภูมิประเทศตอบโดยไม่ต้องคิด
"โน่นครับ พวกนายไปซุ่มอยู่ทางขวามือโน่นระหว่างพุ่มไม้อันหนาทึบ เมื่อพวกโจรเคลื่อนที่เข้ามาทางนี้ผมกับนักรบของผมจะระดมยิงมันด้วยลูกดอกอาบยาพิษ ถึงแม้ว่าสมุนของร้อยเอกเทียนหลุ่นมีประมาณ ๕๐ คนและมีอาวุธปืนทันสมัย เมื่อถูกพวกซาไกยิงโดยไม่รู้ตัวก็จะตกใจล่าถอยไปทางที่มั่นของพวกนาย คราวนี้นายก็ตอกมันด้วยปืนกลซีครับ พอมันถอยไปทางซ้ายโน่นก็เจอนักรบซาไกที่แอบซุ่มซ่อนอีก ในที่สุดมันถูกเราฆ่าตายเกลื่อนกลาด ที่เหลือตายก็จะแตกพ่ายไป
"โอ. เค.ตกลงตามแผนของแกคานู วันนี้แหละพวกเราคงจะได้เห็นฤทธิ์เดชของลูกดอกอาบยาพิษของพวกซาไก"
คานูยิ้มละไม
" รับรองครับนาย ซาไกทุกคนเป่าลูกดอกแม่นเหมือนจับวาง ในระยะห้าหกวาไม่มีผิดเป้าหมายหรอกครับ การหลบซ่อนตัวได้เก่งมาก ประเดี๋ยวนายคอยดูซีครับพวกนักรบของผมจะสงบเงียบอยู่ในที่กำบังอันมิดชิด นายกับพรรคพวกไปเตรียมตัวได้แล้วครับ"
นักรบซาไกได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเผ่าให้กระจายกำลังเข้าที่กำบังริมทางที่พวกโจรจีนจะผ่านเข้ามา และแบ่งกำลังออกเป็น ๒ หมวด คานูเดินกระเผลกสั่งงานตลอดเวลา เขาถือไม้ซางคู่มือของเขาเตรียมพร้อมที่จะสังหารโจรจีนค็อมมิวนิสต์ มีกระบอกไม้ไผ่ใส่ลูกดอกมากมายสะพายอยู่ที่บ่า สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต่างถอยออกไปเข้าประจำที่มั่น
เวลาแห่งการรอคอยผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า
ในชั่วโมงนั้นเองจอมโจรจีนค็อมมิวนิสต์ก็ปรากฏตัวขึ้น หน่วยระวังหน้า ๒ คนล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งฮาราคนของหัวหน้าเผ่าได้ร่วมเดินทางมากับโจรจีนทั้งสองด้วย เทียนหลุ่นนายโจรชั้นผู้น้อยคุมสมุนติดตามมาห่างๆ และสั่งกองระวังหน้าไว้ว่า หากพบตำรวจไทยก็ให้รีบกลับไปรายงานหรือถ้าจวนตัวก็ให้ยิงต่อสู้เพื่อให้เสียงปืนเป็นสัญญาณบอกภัยอันตราย
"อ้ายหงวน" พลกระซิบกับอาเสี่ย "หน่วยลาดตระเวนของมันทั้งสองคน กำลังเดินมาทางนี้พร้อมด้วยคนของหัวหน้าเผ่า แกกับอ้ายกรจัดการเก็บมันได้ไหม"
อาเสี่ยกลืนน้ำลายเอื้อก
"ใช้วิธีรัดคอมันเรอะ"
"ตามใจแกซีแต่อย่าใช้ปืน"
เสี่ยหงวนนิ่งคิดสักครู่
"เอาก็เอาวะ กันเป็นพันเอกกันควรจะกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ถ้ากันไม่กล้าฆ่าข้าศึกกันจะเป็นทหารหาหอกอะไร" แล้วเขาก็หันมาทางนิกร ซึ่งหมอบอยู่ข้างๆ เขาบนเนินดินสูง "กรโว้ย"
นิกรปฏิเสธทันที
"ไม่เอาโว้ย เอาเชือกรัดคอหรือแทงด้วยมีดมันทารุณเสียวไส้มากเกินไป"
เสี่ยหงวนทำตาเขียว
"ถ้ายังงั้นถอดฟอร์มออกทิ้งไปแล้วเอาผ้าซิ่นผู้หญิงมานุ่ง"
พ.อ. นิกรสะดุ้งเล็กน้อย
"แหม-ด่าเสียเจ็บ เอา-ตกลง แกกับกันฆ่าหน่วยลาดตระเวนของมันคนละคน กันใช้มีดพกละ ใช้เชือกรัดคอเดี๋ยวมันดิ้นหลุดแย่งเชือกได้มันก็รัดคอกันตายเท่านั้น"
สองสหายรีบลุกขึ้นวิ่งก้มตัวลงไปจากเนินดินเตี้ยๆ ซึ่งมีต้นไม้ปกคลุมกำบังตัว ฮาราพาสมุนโจร ๒ คนเดินใกล้เข้ามาตามลำดับ สมุนโจรแต่งกายคล้ายทหารสวมหมวกแก๊ปทรงอ่อนมีเครื่องหมายตราดาวแดง ถือปืนเล็กยาวติดดาบในท่าเฉียงอาวุธเหลียวหน้าเหลียวหลังล่อกแล่กเหมือนกวางระวังไพร
กิมหงวนกับนิกรย่องไปข้างหลังสมุนโจรทั้งสอง อาเสี่ยใช้เชือกรัดคอเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ทันที และดึงเชือกเต็มเหนี่ยว ส่วนนิกรนกท่อนแขนซ้ายตวัดรัดคอเพื่อนของมันไว้ มือขวาถือมีดสปริงเงื้อง่าไม่กล้าแทงเพราะเสียวไส้
ฮาราหันมามองดูด้วยความตื่นเต้น
"แทง แทงซีครับนาย เร็วเข้า พวกมันกำลังตามมา"
นิกรล็อคคอสมุนโจรเสียแน่น เขาร้องบอกฮาราด้วยเสียงสั่นๆ
"แกช่วยแทงทีได้ไหม"
ซาไกหนุ่มสั่นศีรษะ
"ไม่ไหวละครับ ผมเคยแต่แทงคอหมู ถ้าฆ่าคนต้องใช้ลูกดอกเป่า"
"ว้า-อั๊วก็ไม่กล้าโว้ย อย่าดิ้นซีโว้ยอ้ายเวร ปู้โธ่ " พูดจบนิกรก็แข็งใจแทงท้องสมุนโจรเต็มรักเสียงดังสวบ เมื่อเขากระชากมีดออกมาและคลายท่อนแขนซ้ายที่ล็อคคอออก สมุนโจรจีนค็อมมิวนิสต์ก็ล้มลงสิ้นใจตาย
ขณะที่เสี่ยหงวนยังพยายามสังหารเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ด้วยเชือกเส้นนั้น สมุนโจรกับกิมหงวนล้มลงไปด้วยกัน แต่อาเสี่ยยังคงดึงปลายเชือกทั้งสองข้างที่รัดคอมันไว้ นิกรเดินเข้ามายืนดูและทำหน้าเหยเกเมื่อแลเห็นสมุนโจรผู้นั้นนัยน์ตาเหลือกลานยกมือทั้งสองไขว่คว้าอากาศ อาเสี่ยเงยหน้าขึ้นถามนิกรเบาๆ
"ช่วยดูซีโว้ยอ้ายกรมันตายหรือยัง"
นิกรทรุดตัวนั่งยองๆ พิจารณาดูหน้าโจรค็อมมิวนิสต์
"ตาเหล่หน้าเขียวแล้วนี่หว่า เท่งทึงแล้วกระมัง"
กิมหงวนยังดึงเชือกต่อไปจนแน่ใจว่าสมุนโจรตายแน่ ก็ปล่อยมือออกและลุกขึ้นยืนถอนหายใจโล่งอก
"เฮ้อ แย่โว้ย สู้ใช้ปืนยิงไม่ได้อย่างนี้ทารุณจริงๆ "
พ.อ. พลวิ่งลงมาจากเนินดิน
"ยังจะร่ำไรอยู่ทำไม ช่วยกันลากศพอ้ายสองคนนี่เข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ซี กำลังส่วนใหญ่ของมันตามมาเกือบถึงแล้ว"
ฮาราพูดเสริมขึ้น
"รีบจัดการให้เรียบร้อยเถอะครับ ผมจะไปดูต้นทางไว้ให้ นายสองคนเก่งมากครับ ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นทีเดียว"
"ว้า" นิกรดุ "อย่าพูดซีโว้ยยิ่งกำลังใจเสียอยู่ แกรู้หรือเปล่าการรบกันนั้นถ้าเราไม่ฆ่าเขาเขาก็ฆ่าเรา"
ฮาราวิ่งเหยาะๆ ไปจากที่นั้นเพื่อไปคอยต้นทาง สามเกลอช่วยกันลากศพสมุนโจรผู้เคราะห์ร้ายเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้อันหนาทึบพร้อมด้วยปืนเล็กยาวประจำตัว เสร็จแล้วก็รีบไปประจำที่
เทียนหลุ่นพากำลังส่วนใหญ่เคลื่อนมาแล้ว ฮารารีบวิ่งมาบอกและเข้าไปประจำแนวรบของพวกซาไก บริเวณป่าด้านนอกช่องเขาสงบเงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงพวกโจรพูดคุยกัน
คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วปล่อยให้พวกโจรประมาณ ๕๐ คนผ่านไป โจรเหล่านี้บ้างก็มีเครื่องแบบบ้างก็แต่งกายแบบพลเรือน มีอาวุธใช้ต่างๆ กัน มีปืนกลเบาหนึ่งกระบอก ปืนกลมือหรือปืนยิงเร็ว ๕ กระบอก นอกนั้นเป็นปืนเล็กยาวและปืนลูกซอง
เมื่อพวกโจรเข้ามาในที่ที่ซาไกหมวดแรกซุ่มซ่อนตัวอยู่และอยู่ในระยะแม่นยำของลูกดอก คานูหัวหน้าเผ่าก็ร้องตะโกนออกคำสั่งระดมยิงทันที ลูกดอกอาบยาพิษพุ่งออกมาจากไม้ซางถูกหน้าอกหรือคอหอยพวกโจรหลายต่อหลายคน เทียนหลุ่นนายโจรยกปืนกลยิงกราดเข้าไปตามสุมทุมพุ่มไม้ซึ่งเป็นการยิงอย่างเดาสุ่ม แล้วสั่งสมุนล่าถอยออกมาเพราะมองไม่เห็นตัวข้าศึก
ทันใดนั้นเองปืนกลมือของคณะพรรคสี่สหายรวม ๖ กระบอกก็แผดคำรามเสียงสนั่นหวั่นไหว พวกโจรถูกยิงล้มระเนระนาดเหมือนใบไม้ร่วง เทียนหลุ่นสั่งสมุนต่อสู้ยิงมาทางที่มั่นของนายพลดิเรกกับคณะ แต่สี่สหายอยู่สูงกว่าจึงได้เปรียบ พลปลดระเบิดมือออกมาจากอกเสื้อกระชากสลักนิรภัยออกขว้างไปทางโจรกลุ่มหนึ่ง"
" ตูม"
เสียงระเบิดมือดังสนั่นเลื่อนลั่น สมุนโจร ๓ คนต้องเสียชีวิต เทียนหลุ่นตะโกนสั่งสมุนให้ล่าถอยไปทางขวา คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วเคลื่อนกำลังรุกลงมาจากเนินดิน ต่างขยายแถวยิงต่อสู้กับพวกโจรอย่างดุเดือด พวกโจรเสียขวัญแล้ว ที่ถูกยิงตายด้วยลูกดอกอาบยาพิษไม่สามารถจะทำการรบได้หลบหนีไปตามยถากรรมและคงไปตายอย่างไม่ต้องสงสัย ถูกคณะพรรคสี่สหายของเรายิงตายไม่ต่ำกว่า ๑๐ คน เทียนหลุ่นสู้พลางถอยพลางพาสมุนถอยไปจนถึงที่ที่พวกซาไกอีกหมวดหนึ่งซุ่มซ่อนตัวอยู่
รองหัวหน้าเผ่าสั่งยิงทันที
ลูกดอกอาบยาพิษพุ่งออกมาจากสุมทุมพุ่มไม้ราวกับห่าฝน เสียบหน้าอกพวกโจรหลายคนและฝังเข้าไปลึก คราวนี้นายโจรสั่งล่าถอยแบบช่วยตัวเอง พวกโจรที่เหลือตายต่างโกยอ้าว นายพลดิเรกกับคณะช่วยกันยิงกราดอย่างช่ำมือ
นักรบซาไกต่างออกมาจากที่ซ่อนกระโดดโลดเต้นโห่ร้องกันเกรียวกราว ทุกคนดีใจในชัยชนะของพวกเขา ศพของพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์เกลื่อนกลาดไปทั่ว คานูพาฮาราคนสนิทของเขาเดินเข้ามาหาคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้ว ซึ่งยืนรวมกลุ่มกันอยู่ในบริเวณที่สู้รบกัน
"เก่งมากคานู" ท่านเจ้าคุณกล่าวชมหัวหน้าเผ่าซาไก "นักรบของท่านมีวิธีการรบยอดเยี่ยมจริงๆ อ้า-พวกโจรที่ถูกลูกดอกอาบยาพิษน่ะ มันจะกลับไปตายที่ค่ายของมันใช่ไหม"
คานูยิ้มภาคภูมิ
"ไปไม่ถึงหรอกครับนาย อย่างมากไปได้แค่ครึ่งทางมันก็ตายแล้ว อีกสักครู่ตามไปดูซีครับ เราจะเห็นศพพวกโจรที่ถูกลูกดอกนอนตายอยู่ทั่วไป"
นายพลดิเรกสัมผัสมือกับหัวหน้าเผ่าอีกครั้งหนึ่ง
"เราได้ทำลายกำลังของพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ไปส่วนหนึ่งแล้ว สั่งให้คนของแกยึดอาวุธปืนและกระสุนปืนที่ศพโจรไว้ใช้เถอะ พวกเราจะสอนวิธียิงปืนให้ จะได้เตรียมไว้ต่อสู้กับพวกโจรอีก"
"ก็ดีซีครับนาย ผมเชื่อว่านับแต่วันนี้ไปพวกซาไกเผ่าต่างๆ ในเขตไทยและมลายูคงจะสู้รบกับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ทั่วป่า และในไม่ช้านี้พวกโจรคงจะยกมาตีหมู่บ้านของผมแน่ๆ หลังจากพวกนายกลับไปแล้ว"
พลพูดเสริมขึ้น
"ไม่ต้องวิตกหรอกคานู พวกซาไกก็คือคนไทยที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทยภายใต้ร่มธงไทย เราจะติดต่อกับตำรวจภูธรชายแดนให้ส่งกำลังมาที่นี่เพื่อคุ้มครองพวกซาไก"
โดยคำสั่งของคานู นักรบซาไกต่างแยกย้ายกันยึดปืนและกระสุนปืนจากศพพวกโจรมารวมกันไว้ ต่อจากนั้นพวกซาไกกับคณะพรรคสี่สหายก็เดินทางกลับหมู่บ้านในหุบเขา และเพื่อความไม่ประมาท คานูได้ส่งคนของเขาออกลาดตระเวนป่าทุกด้านด้วยเกรงว่าพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์จะยกมาอีกซึ่งคราวนี้โจรจะต้องบุกเข้ามาปล้นหมู่บ้านทันที พวกซาไกทั้งหญิงชายเด็กผู้ใหญ่จะถูกฆ่าตายอย่างทารุณ
บ่ายวันนั้นเอง
ขณะที่คานูพาคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วเที่ยวชมหมู่บ้านซาไก และดูสภาพความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ของพวกเงาะ เจ้าหนุ่มซาไกคนหนึ่งก็วิ่งตรงเข้ามาและร้องตะโกนเรียกคานูด้วยเสียงอันดัง
"หัวหน้า หัวหน้าครับ หัวหน้าโว้ย"
คานูหันไปมองเจ้าหนุ่มซาไกอย่างเคืองๆ แต่เขาไม่พูดอะไรจนกระทั่งคนของเขาวิ่งเข้ามาหยุดยืนเบื้องหน้าเขา และคณะพรรคสี่สหายบนลานดินหน้ากระท่อมสามสี่หลัง
"มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นหรือซายา"
"ครับ ผมวิ่งบุกป่ามาตั้ง ๓๐ เส้นเห็นจะได้ โจรจีนค็อมมิวนิสต์ประมาณ ๑๕๐ คนมีปืนกลผูกอยู่บนหลังม้าหลายตัวกำลังเดินทางมายังหมู่บ้านของเราครับ"
คานูยืนนิ่งอึ้ง เขาบอกตัวเองว่าพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์จะต้องบดขยี้เขากับพรรคพวกแหลกลานไปในวันนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
"๑๕๐ คนเชียวหรือซายา"
"ครับ ผมอยู่บนต้นไม้มองเห็นถนัด นายโจรสามสี่คนนั่งอยู่บนหลังม้าครับ"
คานูพยักหน้ารับทราบ
"ระหว่างทางแกเห็นศพพวกโจรบ้างหรือเปล่า"
"โอ๊ย เยอะแยะครับ ล้วนแต่ถูกลูกดอกอาบยาพิษของพวกเรา แต่ที่ถูกปืนก็หลายคน"
หัวหน้าเผ่าหันมามองดูคณะพรรคสี่สหายอย่างห่วงใย แล้วก็กล่าวกับนายพลดิเรกด้วยความปรารถนาดีของเขา
"นายพาพรรคพวกหลบหนีไปเถอะครับ ทิ้งพวกผมไว้เถอะ ผมกับนักรบซาไกเท่าที่มีอยู่จะต่อสู้กับมันเอง ถ้าสู้ไม่ได้ก็ยอมตาย"
ศาสตราจารย์ดิเรกยิ้มแค่นๆ เขายกมือขวาตบบ่าซ้ายหัวหน้าเผ่าแล้วพูดเสียงหนักแน่น
"เรายอมตายเสียดีกว่าที่จะทิ้งพวกซาไกให้เผชิญกับชะตากรรม อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นคนไทยด้วยกันและได้ร่วมรบกันแล้ว พวกเราทั้ง ๖ คนจะช่วยพวกแกรบกับโจรค็อมมิวนิสต์"
นิกรร้องตะโกนขึ้นดังๆ
" ชาติ, เกียรติ, วินัย, กล้าหาญ, ไชโย้"
ทุกคนหันมามองดูนายจอมทะเล้นเป็นตาเดียว คานูทำหน้าชอบกล
"นายไม่สบายหรือครับ"
นิกรทำคอย่นแล้วหัวเราะ
"เปล่า สบายดี"
"แล้วนายร้องเอะอะทำไมครับ"
"ก็ปลอบใจพวกเราให้เข้มแข็งน่ะซี"
พ.อ. พลกล่าวขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการ
"อย่ามัวชักช้าอยู่เลยคานู รีบระดมนักรบของท่านเถอะ พาเขาออกไปตั้งรับรอบๆ หมู่บ้านซุ่มยิงพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ พวกเราจะร่วมรบด้วย ถึงแม้กระสุนปืนของเราเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเราก็จะสู้แบบสู้ตาย"
ในนาทีนั้นเองเสียงกลองศึกกลางหมู่บ้านซาไกก็ดังกระหึ่มขึ้น นักรบไม่ถึง ๑๐๐ คนต่างถือไม้ซางวิ่งมาชุมนุมกันที่ลานกว้างหน้าหมู่บ้าน คานูประกาศให้ทราบว่าพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ ๑๕๐ คนกำลังบุกมาที่นี่ขอให้นักรบซาไกทุกคนสู้ตาย
เสียงโห่ร้องของพวกซาไกดังเซ็งแซ่ คานูพานักรบของเขาเคลื่อนออกจากหมู่บ้านทันทีและสั่งกระจายกำลังไปรอบๆ หมู่บ้าน ให้ทุกคนเลือกหาที่ซุ่มซ่อนตัวเอาเอง และให้พยายามสังหารข้าศึกพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ให้มากที่สุด
พวกซาไกซ่อนตัวอย่างรวดเร็วฉับพลันตามสุมทุมพุ่มไม้ ทุกคนเงียบกริบ ส่วนสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วยึดแอ่งดินแห่งหนึ่งเป็นที่มั่น หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวหน่วยลาดตระเวนของพวกซาไกก็รีบกลับมารายงานให้คานูทราบว่ากองระวังหน้าของพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ราว ๒๐ คนได้มาถึงแล้ว ส่วนมากมีปืนกลมือเป็นอาวุธ
นักรบซาไกเต็มไปด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะทำการรบ ทุกคนจ้องมองดูกองระวังหน้าของข้าศึกซึ่งกำลังผ่านเข้ามา ในที่สุดคานูก็ร้องออกคำสั่ง
" ซาไก ยิง "
ลูกดอกอาบยาพิษพุ่งออกจากไม้ซางทันที ในเวลาเดียวกันปืนกลมือของคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วก็เริ่มแผดเสียงคำรามลั่น พวกโจรถูกยิงล้มกลิ้งไปหลายคน ผู้บังคับหมู่ลาดตะเวนสั่งต่อสู้ สมุนโจรต่างกระจายกำลังกันออกไปและหมอบราบลงกับพื้น ใช้ปืนกลยิงกราดไปตามสุมทุมพุ่มไม้ โจรคนหนึ่งซึ่งมีเครื่องพ่นไฟติดอยู่ข้างหลัง ได้รับคำสั่งให้ใช้เครื่องพ่นไฟเผาพวกซาไกตามพุ่มไม้ใบบังทันที
อำนาจของเครื่องพ่นไฟทำให้นักรบซาไกหลายคนถูกเผาทั้งเป็น ที่เหลือตายต่างแตกตื่นเสียขวัญ พ.อ. นิกรบังเกิดความกล้าหาญขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาถือปืนกลมือลุกขึ้นยืนวิ่งเข้าไปหาสมุนโจรที่ทำหน้าที่ฉีดไฟเผาผลาญพวกซาไก
นิกรถูกพวกโจรยิงล้มลุกคลุกคลานหลายต่อหลายนัด แต่เสื้อเกราะอ่อนช่วยป้องกันกระสุนปืนไว้ได้ เขาวิ่งปราดเข้ามาอีก ยกปืนกลมือขึ้นประทับยิงโจรจีนหนุ่มที่มีเครื่องพ่นไฟผูกติดอยู่ข้างหลัง นิกรปล่อยกระสุนออกไปเพียงชุดเดียวเจ้าหมอนั่นก็ล้มลงขาดใจตาย
นิกรชูปืนกลมือขึ้นเหนือศีรษะแล้วตะโกนลั่น
"ชาติ, เกียรติ, วินัย, กล้าหาญ, ประเทศเป็นบ้าน ทหารรั้ว "
แล้วเขาก็ยืนยิงหมุนตัวไปรอบๆ หน่วยลาดตระเวนของพวกโจรล่าถอยไปตามกัน เสี่ยหงวนรู้สึกเป็นห่วงนิกรก็ร้องตะโกนเรียก
"กลับมาอ้ายกร กลับมาโว้ย"
"ไม่ไป ประเทศบ้านทหารรั้วโว้ย"
ท่านเจ้าคุณปัจจนึกฯ แยกเขี้ยว ยกปืนกลมือขึ้นประทับจะยิงนิกรด้วยความเดือดดาล แต่พลรีบปัดปากกระบอกปืนและห้ามไว้ "อย่าครับ คุณอา"
"ก็มันกระเซ้าอาได้ยินไหมเล่า"
พลกลั้นหัวเราะแทบแย่
"อ้ายกรมันพูดถูกแล้วนี่ครับ ประเทศเป็นบ้านทหารเป็นรั้ว"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ จุปาก
"มันไม่ได้พูดอย่างนั้น มันว่าทหารรั้วไม่ใช่ทหารเป็นรั้ว ทหารรั้วก็ทะหัวล้านน่ะซีโว้ย"
กระสุนปืนกลมือชุดหนึ่งที่ฝ่ายโจรยิงกราดมาทำให้การสนทนาสิ้นสุดลงทันที หน่วยลาดตระเวนของพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ล่าถอยพลางสู้พลาง คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วช่วยกันระดมยิงอย่างดุเดือด แต่ก็พยายามยิงแบบประหยัดกระสุน ส่วนนักรบซาไกซ่อนตัวเงียบกริบอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ กองระวังหน้าของพวกโจรถูกลูกดอกในระยะเผาขนรวม ๕ คน ถูกยิงตาย ๖ คน นอกนั้นรีบล่าถอยไป
เจ้าคุณปัจจนึกฯ ลืมเรื่องนิกรกระเซ้าท่านแล้ว เมื่อนิกรกระโจนลงมาในแอ่งดิน ท่านก็ถอนหายใจโล่งอกที่นิกรแคล้วคลาดจากอันตราย
"แกนึกบ้ายังไงขึ้นมาวะอ้ายกรถึงได้วิ่งออกไปยิงกับมัน"
นิกรอมยิ้มแก้มตุ่ย
"ผมอยากทดลองเสื้อเกราะของดิเรก และอยากลองหลวงพ่อทวดด้วยครับ ดินแดนทางใต้นี้เป็นเขตของหลวงพ่อทวด ผมเชื่อว่าอย่างไรท่านก็คุ้มครองผมและก็จริงตามที่ผมคาดคิด ผมถูกปืนตั้งหลายนัดรู้สึกเจ็บๆ คันๆ เหมือนมดกัด"
พลยกมือตบศีรษะนายจอมทะเล้นเบาๆ
"อย่าคุยดี ประเดี๋ยวกำลังส่วนใหญ่ของพวกโจรก้จะเคลื่อนที่มาถึงนี่สงสัยว่าหลวงพ่ออาจจะไม่ช่วยแก เพราะตอนนี้ท่านมักจะจำวัด"
พ.อ. นิกรสะดุ้งเล็กน้อย
"อย่าเป็นเล่นน่าอ้ายพล" แล้วเขาก็ดึงสี้อยคอทองคำซึ่งมีพระเครื่องชั้นนำคล้องคออยุ่หลายองค์ออกมา "ของกันมีมาหลายองค์ว่ะ กริ่งอุบาเก็ง, สมเด็จวัดระฆัง, นางพญา, หลวงพ่อแก้ว แล้วก็หลวงพ่อทวด ถึงท่านจำวัดก็คงไม่จำวัดหมดทุกองค์หรอก"
ทันใดนั้นเองคานูหัวหน้าเผ่าซาไกได้พาตัวเดินกะโผลกกะเผลกตรงมายังที่มั่นของคณะพรรคสี่สหาย
"ฮัลโหล คานู" นายพลดิเรกกล่าวทัก "นักรบของแกได้รับอันตรายในการสู้รบกับกองระวังหน้าของพวกโจรกี่คน"
คานูกวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณเสียก่อน จึงตอบศาสตราจารย์ดิเรก
"ถูกปืนตาย ๒ คนครับ ถูกไฟครอกตาย ๖ คน อาวุธพ่นไฟของมันน่ากลัวเหลือเกินครับ"
ดร.ดิเรกยิ้มให้หัวหน้าเผ่าเงาะ
"อย่าเสียขวัญคานู เครื่องพ่นไฟเครื่องนั้นถูกปืนของเราเสียหายใช้การไม่ได้อีกแล้ว คนประจำเครื่องพ่นไฟก็ถูกนิกรยิงตาย แกมาหาเราทำไมล่ะ"
"ผมจะมาบอกนายว่าถ้าต้านพวกโจรไม่อยู่ให้ล่าถอยเข้าหมู่บ้านนะครับ พวกผมก็เช่นเดียวกัน เราจะยึดหมู่บ้านของเราเป็นที่มั่นครั้งสุดท้าย"
"ออไร๋ ออไร๋ ฉันเข้าใจแล้วคานู ไปเถอะ ไปควบคุมพลรบของแก พวกเราเหลือกระสุนจำกัดเต็มทน แต่ระเบิดมือยังมีอยู่บ้างพอจะใช้ต่อสู้กับพวกโจร"
หัวหน้าเผ่าซาไกยิ้มให้คณะพรรคสี่สหาย
"ขอให้ทุกคนปลอดภัยนะครับ" พูดจบเขาก็เดินกลับไปยังแนวที่มั่นของเขา
เวลาผ่านพ้นไปด้วยความอึดอัดใจ
พวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์หรือโจรจีนมลายูเคลื่อนที่เข้ามาแล้ว หัวหน้าโจรซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารติดเครื่องหมายยศพันตรีและมีนามว่าโอตี่ ได้แบ่งกำลังออกเป็นหลายหมู่ และสั่งให้ผู้บังคับหมู่นำพลพรรคโจรเข้าโอบล้อมหมู่บ้านซาไกไว้ห่างๆ มีการติดต่อประสานงานกันโดยทางวิทยุสนาม เมื่อพวกโจรโอบล้อมไว้หนาแน่นแล้ว นายโจรโอตี่รองหัวหน้าใหญ่ของโจรจีนมลายูก็สั่งพลพรรคเคลื่อนที่เข้ามาอย่างแช่มช้า และแล้วหลังจากนั้นปืน ค. หรือเครื่องยิงระเบิดของพวกโจรทางด้านหน้าหมู่บ้านก็เริ่มเปิดฉากระดมยิงทันที
เสียงระเบิดดังกึกก้องสะเทือนเลื่อนลั่น ลูกระเบิดลูกแรกตกระเบิดในหมู่ซาไกที่หลบซ่อนตัวอยู่ทำให้ซาไก ๓ คนต้องเสียชีวิตเพราะถูกชิ้นระเบิด นักรบซาไกเพิ่งเคยผจญกับลูกระเบิดเป็นครั้งแรก อำนาจระเบิดของมันดุเดือดรุนแรงเป็นเหตุให้พวกซาไกเสียขวัญไปตามกัน
การโจมตีด้วยปืน ค. เพียงครู่เดียวยังผลให้คานูสั่งพลรบล่าถอยเข้าหมู่บ้าน
"ถอยเข้าบ้านโว้ยพวกเรา ตัวใครตัวมันโว้ย"
เท่านี้เองพวกเงาะก็ลุกขึ้นจากที่กำบัง วิ่งแข่งกันราวกับซ้อมคัดเลือกเพื่อส่งไปแข่งกีฬาโอลิมปิคที่แล้วมา โจรจีนเคลื่อนที่เข้ามาตามลำดับ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วหมอบนิ่งเฉยอยู่ในรังปืน เมื่อโจรจีนหมู่หนึ่งราว ๑๐ คนรุกเข้ามา พ.อ. พลก็สั่งทันที
" ยิง"
เสียงปืนกลมือดังสนั่นหวั่นไหว พวกโจรจีนถูกกระสุนปืนล้มกลิ้งไปหลายคนมองแลเห็นถนัด แต่แล้วในนาทีนั้นเองโอตี่นายโจรก็สั่งทำลายคณะพรรคสี่สหายด้วยปืน ค. หรือเครื่องยิงระเบิด
ลูกระเบิดจากปืน ค. ตกห่างจากที่มั่นของคณะพรรคสี่สหายเพียง ๕ เมตร ต้นไม้ขนาดย่อมต้นหนึ่งหักสะบั้น เศษดินและควันดินปืนกระจายฟุ้งไปหมด ทุกคนหมอบแนบกับพื้นดิน ระเบิดปืน ค. ลูกที่ ๒ ยิงมาอีก คราวนี้ลอยละลิ่วหล่นลงมาในแอ่งดินพอดีเสียงดังตุ้บ
นายพลดิเรกกับคณะอ้าปากหวออกสั่นขวัญแขวนไปตามกัน แต่แล้วศาสตราจารย์ดิเรกก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ
"ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรโว้ย"
เสี่ยหงวนเอ็ดตะโรลั่น
"ไม่มีอะไร ลูกระเบิดออกเบ้อเริ่มแกยังมีหน้าบอกได้ว่าไม่มีอะไร"
นายพลดิเรกหัวเราะเบาๆ
"ออไร๋ แต่ว่ามันด้าน ถ้ามันระเบิด เรา ๖ คนตัวเนื้อแหลกละเอียดเท่งทึงไปตามกันแล้ว"
พ.อ. นิกรกลืนน้ำลายเอื้อก
"ด้านจริงๆ นะหมอ"
"เออ ลูกระเบิดที่ยิงจาก ค. ลูกนี้มันหมดอายุแล้ว"
พวกโจรจีนในบังคับบัญชาของโอตี่ประมาณ ๒ หมวดรุกเข้ามาอย่างระมัดระวัง เสียงปืนยังคงดังกึกก้อง คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต้องสู้รบอย่างทรหดจนกระทั่งกระสุนปืนของพลหมด
"หมอ กระสุนปืนของกันหมดแล้วโว้ย"
"เอาระเบิดมือสู้กับมัน แกมีระเบิดมือกี่ลูก"
"สองลูกว่ะ"
"ดีแล้ว ลูกระเบิดหมดสู้มันด้วยปืนพก" แล้วเขาก็หันมาทางเจ้าแห้วซึ่งกำลังพูดวิทยุติดต่อกับกองทหารและตำรวจภูธรชายแดนของเรา "ว่ายังไงอ้ายแห้ว ติดต่อได้ไหม"
"ไม่ได้ครับคุณหมอ มีแต่เสียงกรอดๆ ครับ"
นายพลดิเรกเอื้อมมือรับวิทยุสนามมาจากเจ้าแห้วและลองพูดติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือ ในที่สุดเขาก็รุ้ว่าเครื่องวิทยุสนามเครื่องนี้เกิดขัดข้องถึงแม้เขาจะซ่อมแซมได้ก็ต้องใช้เวลาซ่อมเป็นชั่วโมง เขาส่งคืนให้เจ้าแห้วแล้วกล่าวว่า
"โชคร้ายเสียแล้วเรา เครื่องวิทยุขัดข้องรับส่งไม่ได้ หมดหวังที่เราจะได้รับความช่วยเหลือจากทหารและตำรวจชายแดนของเรา"
"ว้า" นิการคราง "ถ้ายังงั้นก๊อเท่งทึงน่ะซีโว้ย"
พลหันมายิ้มให้นิกรท่ามกลางห่ากระสุนปืนที่พวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์ระดมยิงมา
"เรากำลังปฏิบัติหน้าที่ของเรา เราเป็นทหาร เรื่องตายเป็นเรื่องเล็กเหลือเกินอ้ายกร"
กิมหงวนเห็นโจรจีนกลุ่มหนึ่งรุกคืบหน้าเข้ามาในระยะลูกระเบิดมือ เขาก็ปลดลูกระเบิดมือออกมาจากอกเสื้อ ดึงสลักนิรภัยออกมาแล้วขว้างไปเต็มเหนี่ยว
" ตูม"
โจรจีน ๒ คนถูกชิ้นระเบิดตายคาที่ นอกนั้นรีบล่าถอยออกไป เสี่ยหงวนถอนหายใจโล่งอกหันมาพูดกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ
"ถอยเข้าหมู่บ้านดีไหมครับคุณอา"
"ถอยไม่ได้ เราถูกโอบล้อมแล้วรู้ไหม การถอนตัวต่อหน้าข้าศึกซึ่งมีกำลังมากกว่าเราและมีอาวุธดีกว่าเราจะทำให้พวกเราถูกยิงตายหมด อย่าลืมว่าพวกโจรจีนมีปืนกลหนักเบาแบบทหาร"
เสี่ยหงวนยิ้มแห้งๆ
"แต่กระสุนปืนของพวกเราเหลือคนละไม่กี่นัดนี่ครับคุณอา ลูกระเบิดก็มีอีกคนละลูกสองลูกเท่านั้น"
นิกรพูดเสริมขึ้น
"ใช้อ้ายแห้วเสี่ยงภัยตีฝ่าวงล้อมไปขอกำลังตำรวจหรือทหารมาช่วยเราดีกว่า ถ้าอ้ายแห้วทำงานสำเร็จผลก้ให้ดิเรกมันขอยศจ่าสิบตรีให้ในฐานที่อ้ายแห้วได้แสดงความกล้าหาญเป็นวีรบุรุษ"
เจ้าแห้วฝืนหัวเราะ
"รับประทานขอยศนายพลให้ผมก็ไม่รับประทานครับ มองดูซีครับพวกโจรจีนค็อมมิวนิสต์เต็มไปหมด และมันกำลังรุกคืบหน้าเข้ามายังที่มั่นของเราทุกที รับประทานผมบุกออกไปก็เท่งทึงเท่านั้น"
เจ้าคุณปัจจนึกฯ เห็นพ้องด้วย
"ใช่ เพียงแต่แกลุกขึ้นยืนในแอ่งดินนี้แกก็เน่าแล้ว"
เสียงปืนเบาบางลงบ้างแล้ว แต่โจรจีนค็อมมิวนิสต์ยังรุกเข้ามา และหมู่บ้านของพวกซาไกถุกโอบล้อมไว้อย่างหนาแน่น อย่างไรก็ตามโอตี่รองหัวหน้าใหญ่ของพวกโจร ต้องการปราบปรามคณะพรรคสี่สหายให้ราบคาบเสียก่อน เพราะมีอาวุธทันสมัยสู้รบกับพวกเขา และเขาก็เข้าใจว่าเป็นหน่วยตำรวจภูธรชายแดนที่ทางการส่งมาอารักขาพวกซาไก ซึ่งประกาศตนเป็นศัตรูต่อพวกโจรจีนมลายู
เมื่อโอตี่สั่งให้พยายามยึดที่มั่นของคณะพรรคสี่สหายให้ได้ พวกโจรจีนประมาณ ๒ หมวดก็เคลื่อนที่เข้ามาอีก นายพลดิเรกกับคณะของเขาสู้จนหมดกระสุน พวกโจรถูกปืนตายเกลื่อนกลาด แต่ที่เหลือตายยังหนุนเนื่องกันเข้ามา ในที่สุดคณะพรรคสี่สหายก็ต้องต่อสู้ด้วยปืนพกและระเบิดมือ
นายโจรชั้นผู้บังคับหมวดสั่งให้สมุนโจรประจัญบาน
เสียงโห่ร้องดังขึ้นเซ็งแซ่ พวกโจรวิ่งประดาหน้ากันเข้ามา และหลายคนที่ถือปืนเล็กยาวสวมดาบแบบทหารราบ คณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วเหลือกระสุนปืนพกอีกคนละสองสามนัดก็ยิงจนหมดกระสุน และแล้วทุกคนก็ลุกขึ้นปีนขึ้นมาจากแอ่งดินใช้พานท้ายปืนกลมือตะลุมบอนกับพวกโจรอย่างดุเดือด
ชั่วเวลาเพียงครู่เดียว สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วก็ถูกจับเป็นและถูกปลดอาวุธ วิทยุสนามถูกยึดเอาไปด้วย สมุนโจรใช้ดาบปลายปืนจ่อหน้าอก และช่วยกันจับมัดมือไขว้หลังด้วยเชือกไนลอนขนาดเล็กแต่มีความเหนียวมาก
การสู้รบสิ้นสุดลงแล้ว นายพลดิเรกกับคณะถูกซ้อมสะบักสะบอมไปตามกัน เพราะทุกคนประจัญบานกับพวกโจรแบบยอมตายถวายชีวิตไม่ยอมจำนน จนกระทั่งพวกโจรช่วยกันจับตัวได้ แต่สมุนโจรก็ถูกเท้าถูกหมัดและเข่าศอกหน้าตาปูดโปไปหลายคน
พ.อ. กิมหงวนส่งภาษาจีนกลางถามนายโจรชั้นผู้บังคับหมวดคนหนึ่ง
"จะจัดการกับพวกเราต่อไปว่าซิ"
โจรหนุ่มในเครื่องแบบร้อยตรีทหารค็อมมิวนิสต์ยิ้มให้กิมหงวน
"พูดไทยกับผมก็ได้ครับ พวกเราแทบทุกคนพูดมลายูและไทยได้ทั้งนั้น เราเคยไปเที่ยวสงขลาและหาดใหญ่บ่อยๆ บางทีเราก็ปลอมเป็นราษฎรไปนอนเล่นอยู่ที่เบตงหรือนราธิวาสตั้งเดือน"
นายพลดิเรกกล่าวถามอาเสี่ยเบาๆ
"ช่วยแปลซิ หมอนี่มันว่ากระไร"
อาเสี่ยตวาดแว็ด
"ไม่ต้องแปลโว้ย เขาพูดไทยออกชัดแจ๋วอย่างนี้ยังต้องให้แปลอีกหรือ" พุดจบกิมหงวนก็หันมาพยักหน้ากับผู้บังคับหมวดโจรจีนมลายู "จะจับพวกเราไปไหนว่ามา"
"พูดกับผู้กองพันของเราเถอะครับ ท่านเดินมาโน่นแล้ว ท่านคือพันตรีโอตี่เป็นรองหัวหน้าใหญ่คนหนึ่ง"
สี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วต่างหันไปมองตามสายตาของนายโจรหนุ่ม ทุกคนแลเห็นนายโจรร่างใหญ่วัยกลางคนแต่งเครื่องแบบทหาร ถือปืนกลมือเดินตรงเข้ามา มีลูกน้องติดตามมากลุ่มหนึ่ง พ.อ. โอตี่มีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสผิดปกติ เขาหยุดยืนเผชิญหน้านายพลดิเรกกับคณะและกล่าวเป็นภาษาไทยว่า
"ผมทราบดีว่าพวกท่านเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ถึงแม้จะไม่ได้ติดเครื่องหมายยศก็ตาม ผมอยากจะถามชื่อก็รู้ดีว่าอย่างไรเสียก็คงไม่มีใครยอมบอก"
พลยิ้มให้นายโจร
"เราตกเป็นเชลยของท่านแล้ว จะจัดการกับพวกเราอย่างไรก็เอาซี"
"อ๋อ ผมจะจัดการกับพวกท่านเดี๋ยวนี้แหละครับ คือยิงเป้า ตกใจไหมครับ"
เสี่ยหงวนเค้นหัวเราะ
"เปล่า ไม่ตกใจเลยคุณโอตี่ เรามาปราบปรามพวกท่านเมื่อเราพลาดพลั้งถูกท่านจับได้เราก็ยอมตาย แต่ว่าเราขอร้องอะไรหน่อยได้ไหมผู้กองพัน"
"ได้ครับ ท่านจะขอร้องอะไรโปรดบอกมาเถอะครับ"
"ขอร้องให้ปล่อยตัวพวกเราไป"
"ไม่ได้" พ.อ. โอตี่ตวาดลั่นแล้วหันมาทางลูกน้องของเขา "ทหาร เอาตัวทหารไทยทั้ง ๖ คนเข้าไปในหมู่บ้านซาไก ซึ่งเราจะทำพิธียิงเป้ากลางหมู่บ้านและเราจะยิงเป้าหัวหน้าเผ่าซาไกด้วย"
โดยคำสั่งของรองหัวหน้าใหญ่ สมุนโจรต่างควบคุมตัวคณะพรรคสี่สหายกับเจ้าคุณปัจจนึกฯ และเจ้าแห้วมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านของพวกซาไก ในเวลาเดียวกันนี้เองพวกโจรก็หลั่งไหลกันเข้าไปในหมู่บ้านและยึดหมู่บ้านซาไกได้โดยไม่มีการต่อสู้กันเลยพวกซาไกเงียบกริบต่างซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนของตน
จบ
คณะพรรคสี่สหายจะรอดตายได้อย่างไร โปรดอ่านต่อในตอนอวสานของเรื่องนี้คือ
นิคมผีปอบ
ตื่นเต้น, หวาดเสียว, สนุกกว่า ซาไก